
การชิงความได้เปรียบ-เสียเปรียบจากสูตรคำนวณ ส.ส.บัญชีรายชื่อ หาร 500 คน ตามที่อ้างกันว่ามีใบสั่ง จากทำเนียบรัฐบาลผ่านหัวหน้าพรรคการเมืองในพรรคร่วมรัฐบาล นำไปสู่การให้รัฐสภาลงมติ ซึ่งสมาชิกรัฐสภา ยังมีความเห็นแย้งกันหลายประเด็น ที่อาจนำไปสู่การคว่ำร่างกฏหมายลูกฉบับดังกล่าว
วันที่ 10 สิงหาคม 2565 วาระสำคัญของการประชุมสมาชิกรัฐสภา คือ ร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. ในมาตรา 24 เป็นต้นไป เกี่ยวกับวิธีการคำนวณจำนวนเสียงในการเลือกตั้ง ในระบบบัญชีรายชื่อ และระบบเขต
สำหรับสูตรหาร 500 ดังกล่าวเป็นของ “นพ.ระวี มาศฉมาดล” หัวหน้าพรรคพลังธรรมใหม่ ที่เสียงส่วนใหญ่ในรัฐสภาเห็นชอบใช้เป็น “ต้นร่าง” ในพระราชบัญญัตประกอบรัฐธรรมนูญ (พ.ร.ป.) ว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ฉบับที่..) พ.ศ… นั้น มีหัวใจสำคัญอยู่ที่วิธีคิด หาร 500 มี 6 ขั้น ดังนี้
1.นำคะแนนรวมทุกพรรคจากบัตร ส.ส.บัญชีรายชื่อ หารด้วย 500 คือจำนวน ส.ส.ทั้งหมด จะได้ค่าเฉลี่ยต่อ ส.ส. 1 คน
2.นำคะแนนของแต่ละพรรค หารด้วยคะแนนเฉลี่ยต่อ ส.ส. 1 คน จะได้จำนวน ส.ส.พึงมี ที่แต่ละพรรคจะได้
3.นำจำนวน ส.ส.พึงมีที่แต่ละพรรคได้ลบกับจำนวน ส.ส.เขต ก็จะได้ตัวเลข ส.ส.บัญชีรายชื่อ
4.ถ้าพรรคการเมืองใดได้ ส.ส.แบ่งเขต เท่ากับหรือสูงกว่าจำนวน ส.ส.พึงมี ให้พรรคการเมืองนั้นมี ส.ส.ตามจำนวนที่ได้รับการเลือกตั้งแบบแบ่งเขตเลือกตั้ง และไม่มีสิทธิได้รับการจัดสรร ส.ส.บัญชีรายชื่อ
และให้นำจำนวน ส.ส.บัญชีรายชื่อทั้งหมดไปจัดสรรให้แก่พรรคการเมืองที่มี ส.ส.แบ่งเขตต่ำกว่าจำนวน ส.ส.พึงมีที่พรรคนั้นควรได้ ตามอัตราส่วน แต่ต้องไม่ทำให้พรรคการเมืองนั้นได้ ส.ส.เกินจำนวน ส.ส.พึงมี
5.ถ้าในกรณีที่ ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อไม่ครบ 100 คน ให้พรรคการเมืองที่มีเศษจากการคำนวณมากที่สุดได้รับการจัดสรร จำนวน ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อเพิ่มอีก 1 คนตามลำดับจนครบจำนวน 100 คน
ในกรณีที่คำนวณแล้วจำนวนเศษของพรรคการเมือง “เท่ากัน” จนไม่สามารถจัดให้ ส.ส.บัญชีรายชื่อครบ 100 คนได้ ให้นำค่าเฉลี่ยคะแนนของแต่ละพรรคการเมืองต่อ ส.ส.พึงมี ต่อจำนวน ส.ส. 1 คนมาพิจารณา
พรรคไหนที่มีค่าเฉลี่ยต่อ ส.ส. 1 คนมากที่สุด ให้พรรคนั้นได้ ส.ส.เพิ่ม แต่ถ้าคิดค่าเฉลี่ยแล้วจำนวนยังเท่ากันให้ใช้วิธีจับสลาก
และ 6.ถ้าคำนวณ ส.ส.บัญชีรายชื่อทั้งหมดแล้ว ยังเกิน 100 คน ให้ดำเนินการคำนวณปรับจำนวน ส.ส.บัญชีรายชื่อใหม่ โดยเทียบบัญญัติไตรยางศ์ ไม่ให้ ส.ส.เกิน 100 คน
ทั้ง 6 ข้อขมวดมาสู่พรรคการเมืองที่จะได้ประโยชน์จากสูตรนี้สูงสุดจะต้อง “เข้าเงื่อนไข” 2 อย่าง
1.ต้องมีคะแนนนิยมของพรรคการเมืองในภาพรวมดีพอสมควร ซึ่งจะนำมาคิดเป็น “คะแนน” ในบัตร ส.ส.บัญชีรายชื่อ
2.พรรคการเมืองที่ได้ ส.ส.เขตน้อย แต่คะแนนนิยมในระดับประเทศมีมาก ก็จะถูกจัดสรรให้ได้ ส.ส.บัญชีรายชื่อตามสัดส่วน ส.ส.พึงมี
ดังนั้น พรรคเพื่อไทยที่หวังตั้งเป้าแลนด์สไลด์ได้ ส.ส.เกิน 250 จากสูตรคำนวณ ส.ส.บัญชีรายชื่อ แบบหาร 100 บวกกับ ส.ส.เขตที่เคยทำให้พรรคเพื่อไทยแข็งแกร่งได้ ส.ส. 260 กว่าเสียงตอนปี 2554
เมื่อปรับมาเป็นสูตรหาร 500 ในฐานะพรรคการเมืองที่ได้ ส.ส.เขตเยอะ ก็ต้องเตรียมแผน 2 แผน 3 เพราะสูตรนี้จะทำให้ได้ ส.ส.บัญชีรายชื่อน้อยลง
แผนแรก ตั้งพรรคใหม่เก็บ ส.ส.บัญชีรายชื่อโดยเฉพาะ เกมแตกแบงก์พันออกมาเป็นแบงก์ห้าร้อย 2 ใบ
หรือพรรคหนึ่งเก็บ ส.ส.เขตให้ได้มากที่สุด อีกพรรคหนึ่งเก็บ ส.ส.บัญชีรายชื่ออย่างเดียว
แผนที่สอง เก็บ ส.ส.เขตให้ได้มากที่สุด เที่ยวนี้พรรคเพื่อไทยตั้งเป้าว่าจะได้ ส.ส.เขตไม่น้อยกว่า 180 ที่นั่ง ส่วน ส.ส.บัญชีรายชื่อ ในสูตรหาร 500 คน ในพรรคคาดว่าจะได้ ส.ส.บัญชีรายชื่ออยู่บ้าง 10 ที่นั่ง ถ้าเกินจากนั้นถือว่าเป็นโบนัส อย่างไรก็ตาม พรรคเพื่อไทยประกาศยื่นให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความว่า สูตรหาร 500 ขัดรัฐธรรมนูญ 2560 ฉบับแก้ไขเพิ่มเติม 2564 หรือไม่
พรรคแกนนำรัฐบาลอย่างพรรคพลังประชารัฐ ที่เสียเปรียบทุกประตู แต่สูตรหาร 500 จะทำให้เสียเปรียบพรรคเพื่อไทยน้อยลงกว่าสูตรหาร 100 โดยพรรคพลังประชารัฐเตรียมเน้นเก็บคะแนนที่ ส.ส.เขตมากกว่าเน้น “คะแนนนิยม” จาก ส.ส.บัญชีรายชื่อ
พรรคภูมิใจไทย-พรรคประชาธิปัตย์-พรรคชาติไทยพัฒนา เผชิญโจทย์เดียวกันตรงที่เป็นพรรคเน้น ส.ส.เขตพื้นที่ แต่คะแนนนิยมระดับประเทศยังไม่เปรี้ยงปร้าง อย่างน้อยสูตรหาร 500 ก็อาจทำให้พอลุ้น ส.ส.บัญชีรายชื่อได้ในระดับ “เท่าทุน” จากการเลือกตั้งปี 2562
ส่วนพรรคที่ถูกมองว่า “ได้เปรียบ” มากกว่าพรรคอื่น ๆ คือ พรรคก้าวไกล เนื่องจากเป็นพรรคที่มีกระแสนิยมในภาพรวมประเทศจากคนรุ่นใหม่ ประกอบกับ ส.ส.เขตก็ไม่ได้แข็งมากนัก และสูตรหาร 500 เคยทำให้พรรคก้าวไกลได้ ส.ส.ถึง 80 ที่นั่งเมื่อตอนเลือกตั้งปี 2562
หากเที่ยวนี้พรรคก้าวไกลรักษาความนิยมได้เท่าเดิม ก็จะได้ ส.ส.พึงมี พรรคก้าวไกลอาจได้ ส.ส.ไม่ต่ำกว่า 70-80 ที่นั่งอีกคำรบ
ทว่า…ความผันแปรของสถานการณ์สูตรหาร 500 ยังไม่จบ เพราะร่าง พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.ยังต้องฝ่าอีกหลายด่าน
ด่านแรกตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 132 หลังที่ประชุมรัฐสภาผ่าน พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.ที่มีหัวใจสำคัญ คือ “สูตรหาร 500” จะต้องส่งร่างกฎหมายไปให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องตรวจสอบ ศาลฎีกา ศาลรัฐธรรมนูญ หรือองค์กรอิสระที่เกี่ยวข้อง ขณะนี้ในรัฐสภายัง “ถกเถียง” ว่าจะส่งไปที่ศาลรัฐธรรมนูญ หรือคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.)
มีแนวโน้มสูงว่าจะส่งไปที่ กกต.ในฐานะองค์กรอิสระที่เกี่ยวข้อง ทว่า กกต.มีหน้าที่ “ตรวจสอบ” ว่า พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.สูตรหาร 500 มีประโยคใดที่ขัดข้องในการคำนวณ หาก กกต.มีข้อทักท้วงก็จะส่งกลับมาให้รัฐสภาพิจารณาใน 30 วัน
หรือหากรัฐสภาส่งไปศาลรัฐธรรมนูญ พรรคเพื่อไทยจะยื่น “คำร้องประกบ” ให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความว่าสูตรหาร 500 ขัดกับรัฐธรรมนูญ 2560 ฉบับแก้ไขเพิ่มเติม 2564 หรือไม่ทันที
อีกด่านสำคัญคือ รัฐธรรมนูญ มาตรา 148 กำหนดว่า ก่อนที่นายกรัฐมนตรีจะนําร่าง “พระราชบัญญัติ” ใดขึ้นทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวาย ส.ส.-ส.ว.ไม่น้อยกว่า 1 ใน 10 หรือ 75 เสียง สามารถเข้าชื่อให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความว่า พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.สูตรหาร 500 มีข้อความขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ หรือตราขึ้นโดยไม่ถูกต้องตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญหรือไม่
ในมุมของ “สมชัย ศรีสุทธิยากร” อดีตคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ปัจจุบันเป็นประธานยุทธศาสตร์พรรคเสรีรวมไทย ให้ความเห็นในเรื่องนี้ว่า ถ้ายื่นศาลรัฐธรรมนูญจะมีตั้งแต่ 1.ศาลรัฐธรรมนูญไม่รับคำร้อง เพราะศาลอาจตีความว่ารัฐธรรมนูญ มาตรา 148 ระบุว่า การพิจารณาจะทำได้เฉพาะพระราชบัญญัติเท่านั้น ดังนั้น ถ้าเป็นพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ อาจปัดตกตั้งแต่ต้น
2.ถ้าหากศาลรัฐธรรมนูญ “รับคำร้อง” และวินิจฉัยว่าร่าง พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.ไม่ขัดรัฐธรรมนูญ กฎหมายจะไม่มีปัญหา แต่ถ้าศาลเห็นว่าขัดกับรัฐธรรมนูญจะแยกอีก 2 ทาง คือ ผิดใน “สาระสำคัญ” ถ้าเป็นเช่นนี้ทำให้กฎหมายตกทั้งฉบับ
2.ผิดในสาระไม่สำคัญก็ให้รัฐสภากลับมาแก้ไข
“ถ้าผิดในสาระสำคัญแล้วถูกปัดตกทั้งหมด ไม่มีอะไรเหลือเลย นับ 1 ใหม่ ถ้านับ 1 ใหม่ จากวันนี้เลือกตั้งก็ไม่มีกฎหมาย โดยกติกาเลือกตั้งอาจออกเป็นพระราชกำหนดโดยรัฐบาลตามใจชอบ”
“ในกรณีที่พรรคเพื่อไทยยื่นศาลรัฐธรรมนูญเรื่องหาร 500 จะมองเป็นเรื่องปลีกย่อยไม่ได้ เมื่อเป็นสาระสำคัญก็ปัดตกทั้งฉบับ ใครเสียหาย…เพื่อไทยเสียหายมากกว่า เพราะรัฐบาล ออก พ.ร.ก.ตามใจชอบ”
ขณะที่แหล่งข่าวในพรรคเพื่อไทย ซึ่งเป็นตัวแทนพรรคอยู่ในเกมแก้รัฐธรรมนูญ-กฎหมายลูก มองว่าถ้าเรื่องถึงศาลรัฐธรรมนูญ คงไม่มองว่าศาลรัฐธรรมนูญจะปล่อยให้ผ่านไป โอกาสกฎหมายถูกตีตกมีสูง
และถ้า พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.ถูกตีตก การที่รัฐบาลจะนับ 1 ใหม่ด้วยการเสนอกฎหมายลูกสูตรหาร 500 อาจจะยุ่งไปกันใหญ่ เพราะรัฐธรรมนูญ 2560 ฉบับแก้ไขเพิ่มเติม 2564 กำหนดให้หาร 100
“เว้นแต่ว่ารัฐบาลออกพระราชกำหนดโดยให้ กกต.เป็นผู้ยกร่างกติกาการเลือกตั้ง พรรคเพื่อไทยอาจเสียเปรียบ แต่เชื่อว่าเสียเปรียบไม่มาก”
ศาลรัฐธรรมนูญอาจเป็น “บันไดหนีไฟ” สูตรหาร 500 ของ พล.อ.ประยุทธ์ หากคิดแผนใหม่
หรือพรรคฝ่ายค้าน โดยเฉพาะพรรคเพื่อไทย อาจจะลุ้นให้มีการเซ็ตซีโร่ ยกร่างกฎหมายเลือกตั้งใหม่ทั้งฉบับ