ย้อนวิบากกรรม “ธาริต เพ็งดิษฐ์” ปมถูกไล่ออกจากราชการ หลัง ป.ป.ช.ชี้มูลร่ำรวยผิดปกติ 346 ล้าน สู่การถูกขับพ้นทำเนียบฯ เจ้าตัวยื่นฟ้องศาลปกครอง และถูกยกฟ้องในวันนี้ (9 มี.ค.)
วันที่ 9 มีนาคม 2565 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ศาลปกครองกลางมีคำพิพากษายกฟ้องในคดีที่นายธาริต เพ็งดิษฐ์ ฟ้องขอเพิกถอนคำสั่งลงโทษไล่ออกจากราชการ กรณีคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ชี้มูลความผิดว่า เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ร่ำรวยผิดปกติ อันเป็นการกระทำความผิดฐานทุจริตต่อหน้าที่
กล่าวสำหรับนายธาริต เพ็งดิษฐ์ อดีตอธิบดีดีเอสไอ ถือเป็นบุคคลที่ถูกไล่เช็กบิลมาโดยตลอดนับตั้งแต่พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เข้ามามีอำนาจตั้งแต่ปี 2557 เริ่มต้นจากการถูกสั่งเด้งจากตำแหน่งอธิบดีดีเอสไอด้วยคำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ที่ 8/2557 ไปปฏิบัติตราชการที่สำนักนายกรัฐมนตรี
หลังจากนั้น ก็มีประเด็นเกี่ยวกับพฤติกรรมร่ำรวยผิดปกติ นำมาสู่ชะตากรรมในปัจจุบัน
“ประชาชาติธุรกิจ” ขอพาไปย้อนดูวิบากกรรรมต่าง ๆ ของนายธาริตกันอีกครั้ง หลังจากศาลปกครองกลางมีคำพิพากษาในวันนี้
ที่มา ร่ำรวยผิดปกติ
หลังถูกโยกย้ายไปนั่งทำงานที่สำนักนายกรัฐมนตรีไม่นาน หลังจากนั้นมีการขุดคุ้ยว่า นายธาริตมีบ้านพักตากอากาศ 2 หลัง ปลูกอยู่บนเนินเขาในรั้วเดียวกับ บ้านพักตากอากาศศิริอุบล ของภรรยาตั้งอยู่เลขที่ 444 หมู่ 11 บ้านมอกระหาด ต.หนองน้ำแดง อ. ปากช่อง จ.นครราชสีมา โดยเป็นการปลูกสร้างบนที่ป่าสงวน
แม้ต่อมาจะมีการรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างดังกล่าวออกไปแล้ว แต่จากการตรวจสอบของ ป.ป.ช.พบว่าบ้านหลังดังกล่าวไม่ได้อยู่ในบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สิน
จึงนำมาสู่การตั้งคณะอนุกรรมการเพื่อไต่สวนข้อเท็จจริงเรื่องการร่ำรวยผิดปกติ ซึ่งในขั้นตอนนี้ ป.ป.ช.พบว่ามีการยักย้าย แปรสภาพ และซุกซ้อนทรัพย์สิน จึงถูก ป.ป.ช.สั่งอายัดทรัพย์สินไว้ 2 ครั้ง มูลค่ารวม 90 ล้านบาท
นอกจากนั้นคณะอนุกรรมการยังพบว่า มีทรัพย์สินของนายธาริตที่ชี้แจงที่มาที่ไปของทรัพย์สินไม่ได้อยู่หลายรายการ รวมมูลค่า 346 ล้านบาทด้วย
จนท้ายที่สุด วันที่ 10 มีนาคม 2559 ป.ป.ช.จึงมีมติเอกฉันท์ 7-0 เสียง แจ้งข้อกล่าวหานายธาริตว่ามีพฤติกรรมร่ำรวยผิดปกติ พร้อมกับส่งต่ออัยการสูงสุดยื่นฟ้องต่อศาลแพ่งให้อายัดทรัพย์ด้วย
ไล่ออกจากราชการ
หลังจากนั้นไม่นาน คณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้ส่งสำนวนการไต่สวนและรายงานความเห็นคดีไปยัง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคสช.ในขณะนั้น ให้ดำเนินการลงโทษไล่นายธาริต ออกจากราชการ
ตามมาตรา 80 (4) ของ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต 2542 ที่ระบุว่า หากเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐที่ไม่ใช่นักการเมือง ประธานศาล และผู้บริหารระดับสูง ที่ถูกชี้มูลความผิดร่ำรวยผิดปกติ ให้ประธาน ป.ป.ช. แจ้งไปยังผู้บังคับบัญชาของผู้ถูกกล่าวหาดำเนินการ สั่งลงโทษไล่ออก หรือปลดออก โดยถือว่ากระทำความผิดฐานทุจริตต่อหน้าที่
ซึ่งในท้ายที่สุดวันที่ 3 เม.ย. 2560 พล.อ.วิลาศ อรุณศรี เลขาธิการนายกรัฐมนตรีในขณะนั้น จึงลงนามในคำสั่งสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีที่ 47/2560 อาศัยอำนาจตาม พ.ร.บ.ระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน 2534 มาตรา 13 ลงโทษไล่ออกจากราชการในที่สุด
ปิดฉากชีวิตในราชการกว่า 27 ปี นับจากปี 2533 ที่นายธาริตเข้ารับราชการครั้งแรกในสำนักงานอัยการสูงสุด
อย่างไรก็ตาม หลังจากนั้นนายธาริตก็พยายามยื่นหนังสืออุทธรณ์คำสั่งดังกล่าวกับคณะกรรมการพิทักษ์ระบบคุณธรรม (ก.พ.ค.) แต่สุดท้าย ก.พ.ค.ไม่รับคำอุทธรณ์ จึงนำมาสู่การยื่นฟ้องร้องคณะกรรมการป.ป.ช.และเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ต่อศาลปกครองกลางให้มีคำสั่งเพิกถอนมติป.ป.ช.ที่กล่าวหามีพฤติกรรมร่ำรวยปกติ และเพิกถอนคำสั่งไล่ออกจากราชการด้วย
ซึ่งในวันนี้ ศาลปกครองกลางก็มีคำพิพากษายกฟ้องในที่สุด