ซีอีโอ “จิตตะ เวลธ์” ส่องโอกาสลงทุนแดนมังกรปี 2565

ขนส่งจีน

การจัดระเบียบธุรกิจภายในประเทศของทางการจีนที่ผ่านมา สร้างความกังวลใจให้กับนักลงทุนไม่น้อย แต่ก็มีการมองกันว่า จะเป็นการสร้างเสถียรภาพระยะยาวให้กับภาพรวมเศรษฐกิจแดนมังกร

ส่วนทิศทางในปี 2565 จะเป็นเช่นไร ตลาดหุ้นจีนจะสดใสหรือไม่ นักลงทุนต้องเลือกลงทุนอย่างไร “ประชาชาติธุรกิจ” ได้พูดคุยกับ “ตราวุทธิ์ เหลืองสมบูรณ์” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) จิตตะ เวลธ์ จำกัด

ในฐานะบริษัทผู้บริหารกองทุนที่สร้างความมั่งคั่งด้วยนวัตกรรมทางเทคโนโลยี หรือเวลท์เทค (WealthTech) ถึงแนวโน้มและโอกาสในการลงทุนในหุ้นจีนปีหน้า

ปีนี้ผลตอบแทนหุ้นจีนติดลบ

“ตราวุทธิ์” กล่าวว่า เศรษฐกิจจีน (GDP) ไตรมาส 3 ปี 2564 โตลดลง แต่ว่าหลัก ๆ เป็นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ และกลุ่มเทคโนโลยี อย่างไรก็ดี จีนมีความมั่นใจว่า GDP ปีนี้จะโต 5% ได้ จากฐานที่ต่ำในปีที่แล้ว

ซึ่งปีนี้ผลตอบแทนหุ้นจีนย้อนหลัง 1 ปี ติดลบไป 15.8% โดยเฉพาะหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีติดลบไปถึง 11% มาจากการที่รัฐบาลจีนเข้ามาควบคุม แต่ปีหน้าคาดว่าจะฟื้นตัวกลับขึ้นมาได้

ขณะที่หุ้นกลุ่มพลังงานสะอาดย้อนหลัง 1 ปี เติบโตอยู่ที่ 23.27% เป็นกลุ่มที่โตเด่นที่สุดในปีนี้ และน่าจะโตได้ต่อเนื่องในปีหน้า

“เดิมทุกคนคิดว่าเศรษฐกิจจีน น่าจะดีมาก ๆ รวมถึงตลาดหุ้นด้วย เนื่องจากจีนติดโควิด-19 เร็ว ควบคุมได้เร็ว กิจกรรมทางเศรษฐกิจกลับมาเร็ว แต่สิ่งที่ทุกคนไม่ได้คำนึงถึงก็คือ รัฐบาลจะเข้มงวดได้ขนาดนี้โดยตลาดหุ้นใหญ่ ๆ ทั่วโลกดีขึ้นหมด ยกเว้นจีนประเทศเดียวที่ติดลบ แต่ก็เป็นส่วนหนึ่งที่รัฐบาลจีนต้องการลดความร้อนแรงของหุ้นเทคโนโลยีและป้องกันการผูกขาด”

จัดระเบียบหุ้นเทค ใกล้จบ

สำหรับแนวโน้มการควบคุมหุ้นเทคโนโลยีนั้น “ตราวุทธิ์” กล่าวว่า น่าจะใกล้จบ หรืออาจจะแทบจบลงไปแล้ว โดยหากย้อนกลับไปเมื่อ 3-4 ปีก่อน จะเห็นว่าจีนก็มีการเข้าไปควบคุมอุตสาหกรรมเกม ซึ่งทำให้หุ้นเกมตก จากนั้นก็กลับมาโตต่อได้ ซึ่งขณะนี้ ทั้ง Tencent, Alibaba, Meituan ต่างได้มีการเสียค่าปรับไปแล้ว และเสียค่าปรับน้อยกว่าที่ควรจะเป็นด้วยซ้ำ

“เดิมมีการประมาณการว่า อาจจะต้องเสียค่าปรับถึงประมาณ 5-10% ของรายได้ แต่สุดท้ายอย่างกรณี Alibaba ก็น่าจะเสียค่าปรับไปแค่ประมาณ 3% ของรายได้ ซึ่งคาดว่าน่าจะจบและไปต่อได้”

ปีหน้าเศรษฐกิจจีนฟื้น-เงินเฟ้อไม่แรง

สำหรับปีหน้าเงินเฟ้อยังคงเป็นประเด็นที่น่ากังวลสำหรับเศรษฐกิจทั่วโลก แต่สถานการณ์เงินเฟ้อในจีนไม่น่าห่วงเท่ากับประเทศอื่น ๆ โดยปีหน้าเศรษฐกิจจีนน่าจะกลับมาเร่งเครื่องได้อีกครั้ง และน่าจะมีมาตรการกระตุ้นออกมา

เนื่องจากทุก ๆ 5 ปี พรรคคอมมิวนิสต์จีน จะมีการจัดประชุมใหญ่ และมักจะมีการกระตุ้นเศรษฐกิจ เพื่อให้ประชาชนเกิดความเชื่อมั่น และหุ้นก็จะขึ้นรวมถึงแผนพัฒนาเศรษฐกิจแห่งชาติ ฉบับที่ 14 ของจีนล่าสุด ที่ตั้งเป้าหมายอัตราขยายตัวทางด้านเศรษฐกิจ (GDP) ที่จะเติบโตเป็น 2 เท่า ใน 10 ปีข้างหน้า

เทรนด์ปีหน้า “มังกรจีนผงาด”

“ตราวุทธิ์” กล่าวว่า ระยะยาว ถ้าจีนยังคงการเติบโตของ GDP แบบนี้ต่อไปได้ มูลค่าของตลาดหุ้นก็จะเพิ่มสูงขึ้น เพราะภาพรวมหุ้นจีนยังค่อนข้าง undervalue (ราคาตลาดของหุ้นต่ำกว่ามูลค่าหุ้นที่ประเมินได้) อยู่ค่อนข้างมาก

แม้จะไม่นับปีนี้ที่ตลาดหุ้นจีนตก โดยในอนาคต หากจีนสามารถเปิดตลาดทุนให้ต่างชาติเข้าถึงได้ง่ายขึ้น ก็จะเป็นอีกหนึ่งปัจจัยบวกที่จะสนับสนุนให้มูลค่าของตลาดหุ้นจีนเพิ่มขึ้นได้อีก และปัจจุบันจะเริ่มเห็นว่าแบรนด์จีนได้รับการยอมรับมากขึ้นบนเวทีโลก

ทั้งนี้ หุ้นจีน ถือเป็นหุ้นคุณค่า (value stock) ซึ่งเป็นการลงทุนที่ตอบโจทย์ในระยะยาว รวมถึงราคาหุ้นจีนยังถูกกว่าเมื่อเทียบกับหุ้นสหรัฐและหุ้นฝั่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งส่วนตัวมองว่า หุ้นจีนเป็นหุ้นที่กำลังรอการกลับมาเติบโตอีกครั้ง ปีหน้าน่าจะเป็น “มังกรผงาด” ที่จะเติบโตได้ดีไม่แพ้ประเทศอื่น

“หากปีหน้า รัฐบาลปลดล็อก รวมถึงมีการกระตุ้นเศรษฐกิจ ทำให้นักลงทุนคลายความกังวลก็น่าจะเริ่มมีเงินไหลเข้า นอกจากนี้ หุ้นจีนยังถูกกว่าเมื่อเทียบกับหุ้นสหรัฐ ฉะนั้นเชื่อว่าเงินลงทุนน่าจะไหลกลับเข้าจีนเยอะขึ้นมาก ๆ ในปีหน้า

แต่การลงทุนในจีนปัจจุบันความเสี่ยงเดียวที่ยังมีอยู่ คือ เรื่องของรัฐบาล ทำให้ระยะสั้นอาจมีเซอร์ไพรส์ได้บ้าง ซึ่งหากรับความผันผวนตรงนี้ไม่ได้อาจจะลงทุนได้ยากหน่อย แต่หากอยากลงทุน ก็สามารถกระจายลงทุนในกลุ่มที่ยังเติบโตได้ดี เช่น กลุ่มพลังงานสะอาด กลุ่มเฮลท์แคร์ ซึ่งจะเป็นกลุ่มที่เติบโตได้ในระยะยาว”

เซ็กเตอร์โดดเด่นน่าลงทุนในจีน

โดยเซ็กเตอร์ที่น่าสนใจ เนื่องจากจีนตั้งเป้าเรื่องพลังงานหมุนเวียนและพลังงานสะอาดเป็นหลัก รวมถึงเรื่องเฮลท์แคร์ ซึ่งทางการจีนระบุเลยว่า จะทำให้คนจีนอายุยืนขึ้นเฉลี่ยคนละ 1 ปี จาก 76 ปี เป็น 77 ปี และเน้นพวกเทคโนโลยีใหม่ ๆ

เพราะฉะนั้นกลุ่มอุตสาหรรมที่น่าจะเป็นประโยชน์ กลุ่มแรก จะเป็นกลุ่มเทคโนโลยีที่เป็น new S-curve ที่จะทำให้ GDP โตได้ต่อเนื่อง กลุ่มที่ 2 พลังงานสะอาด

กลุ่มที่ 3 เฮลท์แคร์ และกลุ่มที่ 4 เป็นหุ้นที่เกี่ยวกับการอุปโภคบริโภคภายในประเทศ ซึ่งมองว่าในอีก 2-3 ปีข้างหน้า กลุ่มจะสร้างมูลค่าให้จีนได้สูงที่สุด คือ กลุ่มพลังงานสะอาด

สำหรับการลงทุนในจีนนั้น “ตราวุทธิ์” บอกว่า ทางจิตตะ เวลธ์ มี “กองทุน Jitta Ranking China” ที่เข้าไปวิเคราะห์และซื้อหุ้นที่ดีราคาถูกใน A-Share ซึ่งจะเน้นที่ราคาถูกและดี มีการกระจายความเสี่ยงในหลายอุตสาหกรรม ซึ่งคาดว่าจะได้ผลตอบแทนเติบโตประมาณ 1.5-2 เท่าของดัชนี

“ผมมองว่าดัชนีหุ้นจีนในอีก 10 ปีข้างหน้า จะโตประมาณ 7-10% ต่อปี และเราก็คาดหวังว่าจะได้ผลตอบแทนสักประมาณ 15-20% ต่อปี”

ส่วนอีกตัวที่ลงทุนง่ายกว่าและมีความผันผวนน้อยกว่าก็คือ การลงทุนใน “กองทุน Thematic” ของจิตตะ เวลธ์ ซึ่งปัจจุบันมีให้เลือกลงทุนในหุ้นจีนหลากหลายกลุ่มทั้งพลังงานสะอาด กลุ่มเทคโนโลยี เป็นต้น

“ในปีหน้า เราเตรียมเปิดกองหุ้นสุขภาพของบริษัทในจีนมาให้เลือกลงทุนในช่วงไตรมาส 1 ดังนั้น ก็จะมีให้เลือกลงทุนครอบคลุมทั้ง 4 เซ็กเตอร์ ที่จะมาแรงในปีหน้า ทั้งเทคโนโลยี, พลังงานสะอาด, เฮลท์แคร์และการอุปโภคบริโภคภายในประเทศ” ซีอีโอจิตตะ เวลธ์กล่าว

เรียกได้ว่า ยังคงมองโอกาสการลงทุนในหุ้นจีนที่ยังน่าสนใจอยู่ในระยะยาว