
ดัชนีประสิทธิภาพด้านสิ่งแวดล้อม (Environmental Performance Index : EPI) ของ Yale University ถูกจัดทำเป็นประจำทุกปี เพื่อหาสถิติผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมโดยรวมของประเทศต่าง ๆ
โดยใช้ชุดข้อมูลทางด้านวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยีล่าสุด ที่ทำให้การประเมินสถานะของความยั่งยืนครอบคลุมที่สุด สำหรับดัชนีปี 2024 เป็นการสำรวจสถานะของความยั่งยืนของ 180 ประเทศ โดยใช้ตัวบ่งชี้ประสิทธิภาพ 58 ตัว ในมิติการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ สุขภาพสิ่งแวดล้อม ระบบนิเวศ และการส่งเสริมอนามัยสิ่งแวดล้อม
EPI เป็นหนึ่งในเครื่องมือที่ในการติดตามความคืบหน้าไปสู่เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนของสหประชาชาติ (UN Sustainable Development Goals) ความตกลงปารีส (Paris Agreement) 2015 และกรอบงานคุนหมิง-มอนทรีออลว่าด้วยความหลากหลายทางชีวภาพของโลก (Kunming-Montreal Global Biodiversity Framework) โดยช่วยระบุว่าประเทศใดที่ประสบความสำเร็จสูงสุดในการจัดการกับประเด็นต่าง ๆ ทั้งความท้าทายด้านสิ่งแวดล้อม การให้ความสำคัญกับผู้นำด้านความยั่งยืน และผู้ล้าหลังในการดำเนินงานด้านสิ่งแวดล้อม
Top 10 ประเทศเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากที่สุด
- อันดับ 1 เอสโตเนีย 75.3 คะแนน
- อันดับ 2 ลักเซมเบิร์ก 75.0 คะแนน
- อันดับ 3 เยอรมนี 74.6 คะแนน
- อันดับ 4 ฟินแลนด์ 73.7 คะแนน
- อันดับ 5 สหราชอาณาจักร 72.7 คะแนน
- อันดับ 6 สวีเดน 70.5 คะแนน
- อันดับ 7 นอร์เวย์ 70.0 คะแนน
- อันดับ 8 ออสเตรีย 69.0 คะแนน
- อันดับ 9 สวิตเซอร์แลนด์ 68.0 คะแนน
- อันดับ 10 เดนมาร์ก 67.9 คะแนน
Top 10 ประเทศที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมน้อยที่สุด
- อันดับ 180 เวียดนาม 24.5 คะแนน
- อันดับ 179 ปากีสถาน 25.5 คะแนน
- อันดับ 178 ลาว 26.1 คะแนน
- อันดับ 177 เมียนมา 26.9 คะแนน
- อันดับ 176 อินเดีย 27.6 คะแนน
- อันดับ 175 บังกลาเทศ 27.8 คะแนน
- อันดับ 174 เอริเทรีย 28.6 คะแนน
- อันดับ 173 มาดากัสการ์ 29.9 คะแนน
- อันดับ 172 อิรัก 30.4 คะแนน
- อันดับ 171 อัฟกานิสถาน 30.7 คะแนน
ทั้งนี้ ประเทศไทยอยู่อันดับที่ 90 ของ 180 ประเทศ ด้วยคะแนน 45.4
กรณีศึกษาเอสโตเนีย จากผู้ปล่อย CO2 มากสุดอันดับ 2 ในสหภาพยุโรป สู่อันดับ 1 ในดัชนีโลก EPI
ประเทศเอสโตเนียเป็นผู้นำในดัชนีจัดอันดับ EPI ปี 2024 ด้วยผลงานการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (GHG) ลดลง 40% ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา โดยมีสาเหตุหลักมาจากการเปลี่ยนจากเผาไหม้หินน้ำมันหรือน้ำมันที่เกิดจากการทับถมของซากพืช-ซากสัตว์อยู่ใต้ชั้นหินดินดานเพื่อผลิตไฟฟ้า มาเป็นพลังงานที่สะอาดกว่า นอกจากนั้น เอสโตเนียกำลังร่างข้อเสนอเพื่อให้บรรลุความเป็นกลางด้านคาร์บอนไดออกไซด์ และสร้างเครือข่ายการขนส่งสาธารณะที่มีความเป็นกลางทางคาร์บอนไดออกไซด์ในเมืองใหญ่ ๆ ภายในปี 2040
ทั้งที่ก่อนหน้านี้ เอสโตเนียเป็นผู้ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ต่อหัวที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 ในสหภาพยุโรป โดยการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ของเอสโตเนียมากกว่า 90 เปอร์เซ็นต์มาจากการเผาไหม้หินน้ำมันเพื่อผลิตไฟฟ้า (ตามรายงานของ CEE Bankwatch Network ปี 2018) และเป็นประเทศที่มีเศรษฐกิจคาร์บอนเข้มข้นมากที่สุดในกลุ่มประเทศ OECD เหตุผลก็คือหินน้ำมันซึ่งเป็นหินตะกอนที่มีการขุดในเอสโตเนียเพื่อผลิตกระแสไฟฟ้าตั้งแต่ช่วงทศวรรษที่ 1950 และยังได้ถูกนำมาใช้เพื่อการผลิตเชื้อเพลิงดีเซลเหลวอีกด้วย
มลพิษที่มีความเข้มข้นสูงสร้างปัญหาสุขภาพให้กับคนในท้องถิ่น เด็ก ๆ ที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ที่มีการเผาไหม้หินน้ำมัน ทำให้เกิดโรคทางเดินหายใจ และอาจมีอายุเฉลี่ยขัยสั้นกว่าคนทั่วไปสี่ปี ดังนั้น เอสโตเนียจึงสร้างแผนพัฒนาพลังงานของประเทศ โดยมุ่งมั่นที่จะลดจำนวนการเสียชีวิตก่อนกำหนดอันเนื่องมาจากมลพิษลงร้อยละ 50 ภายในปี 2030
“คริสตี้ คลาส” รองรัฐมนตรีกระทรวง Green Transition ของเอสโตเนีย กล่าวว่า เอสโตเนียได้ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลง 59% เมื่อเทียบกับปี 1990 ภาคพลังงานจะเป็นส่วนสำคัญที่สุดในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า เนื่องจากเรามีเป้าหมายที่จะผลิตไฟฟ้าที่ใช้จากพลังงานหมุนเวียนได้ 100% ภายในปี 2030
อย่างไรก็ตาม มหาวิทยาลัยเยลระบุว่า การพึ่งพาพลังงานชีวมวล (Biomass) ที่เพิ่มขึ้นของเอสโตเนีย ส่งผลกระทบต่อการอนุรักษ์ป่าไม้ จึงไม่ชัดเจนว่าจะสามารถรักษาอัตราการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอย่างรวดเร็วได้หรือไม่
เทรนด์โลก Net Zero ต้องเพิ่มความพยายามเป็นสองเท่า
ในปี 2022 เดนมาร์ก เป็นอันดับ 1 บนดัชนี EPI แต่ในปี 2024 หล่นลงมาอยู่อันดับที่ 10 เนื่องจากอัตราการลดคาร์บอนลดลง โดยการดำเนินการ “low-hanging fruit policies” ของประเทศส่งผลต่อประสิทธิภาพในช่วงแรก ๆ จากการเปลี่ยนมาใช้การผลิตไฟฟ้าจากถ่านหินเป็นก๊าซธรรมชาติ แต่การขยายตัวการผลิตพลังงานหมุนเวียนนั้นก็ยังไม่เพียงพอ
ดัชนี EPI ระบุด้วยว่า การปล่อยก๊าซเรือนกระจกในประเทศเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดในโลก เช่น สหรัฐอเมริกา (ซึ่งปีนี้อยู่ในอันดับที่ 34) กำลังลดลงช้าเกินไปหรือยังคงเพิ่มขึ้น เช่นเดัยวกับ จีน รัสเซีย และอินเดีย
ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา มีเพียง 5 ประเทศ ได้แก่ เอสโตเนีย ฟินแลนด์ กรีซ ติมอร์-เลสเต และสหราชอาณาจักร ที่ได้ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในอัตราที่จำเป็นเพื่อให้บรรลุเป้าหมายสุทธิเป็นศูนย์ภายในปี 2593
ขณะที่เวียดนามและประเทศกำลังพัฒนาอื่น ๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และเอเชียใต้ เช่น ปากีสถาน ลาว เมียนมา และบังกลาเทศ อยู่ในอันดับที่ต่ำที่สุด ซึ่งบ่งบอกถึงความเร่งด่วนของความร่วมมือระหว่างประเทศในการช่วยสร้างเส้นทางสำหรับประเทศที่กำลังดิ้นรนเพื่อให้บรรลุความยั่งยืน
“แดเนียล เอสตี้” ศาสตราจารย์ Hillhouse และผู้อำนวยการ Yale Center for Environmental Law & Policy (YCELP) กล่าวว่า ดัชนีประสิทธิภาพด้านสิ่งแวดล้อมปี 2024 เน้นย้ำถึงความท้าทายด้านความยั่งยืนที่สำคัญต่าง ๆ ตั้งแต่การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศไปจนถึงการสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพและอื่น ๆ อีกมากมาย และเผยให้เห็นแนวโน้มที่ชี้ให้เห็นว่าประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกจำเป็นต้องเพิ่มความพยายามเป็นสองเท่าในการปกป้องระบบนิเวศที่สำคัญและความมีชีวิตชีวาของโลกของเรา
เอเชีย-แปซิฟิกเป็นภูมิภาคที่มีประสิทธิภาพต่ำที่สุด
เอเชีย-แปซิฟิกเป็นภูมิภาคที่มีประสิทธิภาพต่ำที่สุดเป็นอันดับ 3 เมื่อเทียบกับภูมิภาคอื่น ๆ ทั่วโลก โดยมีคะแนนเฉลี่ยของภูมิภาค EPI อยู่ที่ 41.8 และเป็นภูมิภาคที่มีความแปรปรวนสูงสุดในคะแนน EPI
สำหรับประเทศที่อยู่ใน 3 อันดับแรกที่มีคะแนนสูงสุดในภูมิภาค คือ ญี่ปุ่น (อันดับที่ 27) สิงคโปร์ (อันดับที่ 44) และเกาหลีใต้ (อันดับที่ 57) และ 3 อันดับที่มีคะแนนต่ำสุด คึอ เวียดนาม (อันดับที่ 180) ลาว (อันดับที่ 178) และเมียนมาร์ (อันดับที่ 177)
ญี่ปุ่นได้รับคะแนนสูงสุดในภูมิภาค (61.7) โดยเป็นผู้นำในวัตถุประสงค์นโยบายการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ สุขภาพสิ่งแวดล้อม ระบบนิเวศ และการส่งเสริมอนามัยสิ่งแวดล้อม ด้วยพื้นที่อนุรักษ์เกือบ 30 เปอร์เซ็นต์ ญี่ปุ่นจึงมีอัตราการสูญเสียภูมิทัศน์ป่าไม้ที่สมบูรณ์ต่ำที่สุดในโลก
นอกจากนั้น ญี่ปุ่นได้รับคะแนนสูงสุดในด้านการจัดการของเสียและโลหะหนัก และมีคุณภาพอากาศดีที่สุดในภูมิภาค รองจากบรูไนและประเทศหมู่เกาะแปซิฟิกหลายแห่ง ญี่ปุ่นยังเป็นผู้นำระดับภูมิภาคในการบรรเทาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกร้อยละ 19 ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา
ขณะที่เวียดนามเผชิญกับความท้าทายด้านสิ่งแวดล้อมในวงกว้าง การพึ่งพาการผลิตไฟฟ้าจากถ่านหินเพิ่มมากขึ้นส่งผลให้การปล่อยมลพิษทางอากาศและก๊าซเรือนกระจกเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว มลพิษทางอากาศที่รุนแรงไม่เพียงส่งผลเสียต่อสุขภาพของประชาชนเท่านั้น แต่ยังรวมถึงความหลากหลายทางชีวภาพของเวียดนามที่ถูกคุกคามจากการสูญเสียแหล่งที่อยู่อาศัยในอัตราที่สูงอยู่แล้ว