
ดัชนีประสิทธิภาพด้านสิ่งแวดล้อม (Environmental Performance Index : EPI) ถูกจัดทำทุกปีโดย Yale Center for Environmental Law and Policy (YCELP) ของมหาวิทยาลัยเยล (Yale University) สหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยกลุ่มไอวี่ลีก เพื่อหาสถิติผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมโดยรวมของประเทศต่าง ๆ
โดยข้อมูลที่ใช้จัดอันดับมาจากองค์กรระหว่างประเทศ สถาบันวิจัย สถาบันการศึกษา และหน่วยงานภาครัฐ ที่ทำให้การประเมินสถานะของความยั่งยืนครอบคลุมที่สุด นอกจากนั้นได้รับการตรวจสอบโดยบุคคลที่สามเพื่อความยุติธรรม และจะไม่ยอมรับข้อมูลจากรัฐบาลของประเทศต่าง ๆ โดยตรง
สำหรับดัชนีปี 2024 เป็นการสำรวจสถานะของความยั่งยืนของ 180 ประเทศ โดยใช้ตัวบ่งชี้ประสิทธิภาพ 58 ตัว แบ่งออกเป็น 11 หมวดประเด็น ภายใต้วัตถุประสงค์ 3 ประการ คือ สิ่งแวดล้อม สภาพภูมิอากาศ และความสมบูรณ์ของระบบนิเวศ
เครื่องมือติดตามเป้าหมายโลก
“แดเนียล เอสตี้” ศาสตราจารย์ Hillhouse และผู้อำนวยการ Yale Center for Environmental Law & Policy (YCELP) กล่าวว่า ดัชนีประสิทธิภาพด้านสิ่งแวดล้อมปี 2024 เน้นย้ำถึงความท้าทายด้านความยั่งยืนที่สำคัญ ตั้งแต่การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศไปจนถึงการสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพ
EPI เป็นหนึ่งในเครื่องมือที่ใช้ติดตามความคืบหน้าการไปสู่เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนของสหประชาชาติ (UN Sustainable Development Goals) ความตกลงปารีส (Paris Agreement) 2015 และกรอบงานคุนหมิง-มอนทรีออล
ว่าด้วยความหลากหลายทางชีวภาพของโลก (Kunming-Montreal Global Biodiversity Framework) โดยช่วยระบุว่าประเทศใดที่ประสบความสำเร็จสูงสุดในการจัดการกับประเด็นต่าง ๆ ทั้งความท้าทายด้านสิ่งแวดล้อม การให้ความสำคัญกับผู้นำด้านความยั่งยืน และผู้ล้าหลังในการดำเนินงานด้านสิ่งแวดล้อม
อันดับติดท็อป-รั้งท้าย
ประเทศเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากที่สุด 10 อันดับแรก คือ อันดับ 1 เอสโตเนีย 75.3 คะแนน อันดับ 2 ลักเซมเบิร์ก 75.0 คะแนน อันดับ 3 เยอรมนี 74.6 คะแนน อันดับ 4 ฟินแลนด์ 73.7 คะแนน อันดับ 5 สหราชอาณาจักร 72.7 คะแนน อันดับ 6 สวีเดน 70.5 คะแนน อันดับ 7 นอร์เวย์ 70.0 คะแนน อันดับ 8 ออสเตรีย 69.0 คะแนน อันดับ 9 สวิตเซอร์แลนด์ 68.0 คะแนน และ อันดับ 10 เดนมาร์ก 67.9 คะแนน
ขณะที่ประเทศที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมน้อยที่สุด 10 อันดับ คือ อันดับ 180 เวียดนาม 24.5 คะแนน อันดับ 179 ปากีสถาน 25.5 คะแนน อันดับ 178 ลาว 26.1 คะแนน อันดับ 177 เมียนมา 26.9 คะแนน อันดับ 176 อินเดีย 27.6 คะแนน อันดับ 175 บังกลาเทศ 27.8 คะแนน อันดับ 174 เอริเทรีย 28.6 คะแนน อันดับ 173 มาดากัสการ์ 29.9 คะแนน อันดับ 172 อิรัก 30.4 คะแนน อันดับ 171 อัฟกานิสถาน 30.7 คะแนน ทั้งนี้ ประเทศไทยอยู่อันดับที่ 90 ของ 180 ประเทศ ด้วยคะแนน 45.4
ดัชนี EPI สะท้อนถึงความสำคัญของความมั่งคั่งและธรรมาภิบาลในการทำงานเพื่อสิ่งแวดล้อมของประเทศต่าง ๆ โดยกลุ่มประเทศสแกนดิเนเวียไต่อันดับขึ้นสู่อันดับสูงสุดในด้านสิ่งแวดล้อมอย่างต่อเนื่อง ส่วนประเทศต่าง ๆ ในทวีปยุโรปมีแนวโน้มที่จะมีผลการดำเนินงานที่ดี โดยครองตำแหน่ง 20 อันดับแรก เพราะส่วนใหญ่มีนโยบายด้านสิ่งแวดล้อมที่แข็งแกร่ง และสนับสนุนกฎระเบียบที่เข้มงวดและการลงทุนทางการเงินด้านสิ่งแวดล้อม
ไม่มีใครคะแนนรวมเกิน 80
อย่างไรก็ตาม ไม่มีประเทศใดที่มีคะแนนเกิน 80 ในคะแนนรวมโดยเฉลี่ยในปี 2024 ตอกย้ำว่าประเทศทั่วโลกยังห่างไกลจากเส้นทางความยั่งยืนที่แท้จริง และต้องเพิ่มความพยายามเป็นสองเท่า
ในปี 2022 เดนมาร์ก เป็นอันดับ 1 บนดัชนี EPI แต่ในปี 2024 หล่นลงมาอยู่อันดับที่ 10 เนื่องจากอัตราการลดคาร์บอนลดลง เป็นผลจากนโยบาย “Low-hanging Fruit Policies” ของประเทศ ส่งผลต่อประสิทธิภาพการเปลี่ยนมาใช้การผลิตไฟฟ้าจากถ่านหินเป็นก๊าซธรรมชาติในช่วงแรก ๆ เพราะการขยายตัวการผลิตพลังงานหมุนเวียนยังไม่เพียงพอ
ดัชนี EPI ระบุด้วยว่า การปล่อยก๊าซเรือนกระจกในประเทศเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดในโลก เช่น สหรัฐอเมริกา (ซึ่งปีนี้อยู่ในอันดับที่ 34) กำลังลดลงช้าเกินไปและอาจเพิ่มขึ้น เช่นเดียวกับ จีน รัสเซีย และอินเดีย
ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา มีเพียง 5 ประเทศ ได้แก่ เอสโตเนีย ฟินแลนด์ กรีซ ติมอร์-เลสเต และสหราชอาณาจักร ที่สามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในอัตราที่จำเป็นต่อการบรรลุเป้าหมายสุทธิเป็นศูนย์ภายในปี 2050
ขณะที่เวียดนามและประเทศกำลังพัฒนาอื่น ๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และเอเชียใต้ เช่น ปากีสถาน ลาว เมียนมา และบังกลาเทศ อยู่ในอันดับที่ต่ำที่สุด ซึ่งบ่งบอกถึงความเร่งด่วนของความร่วมมือระหว่างประเทศในการช่วยสร้างเส้นทางสำหรับประเทศที่กำลังดิ้นรนเพื่อให้บรรลุความยั่งยืน
เอเชีย-แปซิฟิกประสิทธิภาพยังต่ำ
เอเชีย-แปซิฟิกเป็นภูมิภาคที่มีประสิทธิภาพต่ำที่สุดเป็นอันดับ 3 เมื่อเทียบกับภูมิภาคอื่น ๆ ทั่วโลก โดยมีคะแนนเฉลี่ยของภูมิภาค EPI อยู่ที่ 41.8 และเป็นภูมิภาคที่มีความแปรปรวนสูงสุดในคะแนน EPI
สำหรับประเทศที่อยู่ใน 3 อันดับแรกที่มีคะแนนสูงสุดในภูมิภาค คือ ญี่ปุ่น (อันดับที่ 27) สิงคโปร์ (อันดับที่ 44) และเกาหลีใต้ (อันดับที่ 57) และ 3 อันดับที่มีคะแนนต่ำสุด คือ เวียดนาม (อันดับที่ 180) ลาว (อันดับที่ 178) และ เมียนมา (อันดับที่ 177)
ญี่ปุ่นได้รับคะแนนสูงสุดในภูมิภาค (61.7) โดยเป็นผู้นำในวัตถุประสงค์นโยบายการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ สุขภาพสิ่งแวดล้อม ระบบนิเวศ และการส่งเสริมอนามัยสิ่งแวดล้อม ด้วยพื้นที่อนุรักษ์เกือบ 30 เปอร์เซ็นต์ ญี่ปุ่นจึงมีอัตราการสูญเสียภูมิทัศน์ป่าไม้ที่สมบูรณ์ต่ำที่สุดในโลก
นอกจากนั้น ญี่ปุ่นได้รับคะแนนสูงสุดในด้านการจัดการของเสียและโลหะหนัก และมีคุณภาพอากาศดีที่สุดในภูมิภาค รองจากบรูไน และประเทศหมู่เกาะแปซิฟิกหลายแห่ง ญี่ปุ่นยังเป็นผู้นำระดับภูมิภาคในการบรรเทาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกร้อยละ 19 ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา
ขณะที่เวียดนามเผชิญกับความท้าทายด้านสิ่งแวดล้อมในวงกว้าง การพึ่งพาการผลิตไฟฟ้าจากถ่านหินเพิ่มมากขึ้นส่งผลให้การปล่อยมลพิษทางอากาศและก๊าซเรือนกระจกเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว มลพิษทางอากาศที่รุนแรงไม่เพียงส่งผลเสียต่อสุขภาพของประชาชนเท่านั้น แต่ยังรวมถึงความหลากหลายทางชีวภาพของเวียดนามที่ถูกคุกคามจากการสูญเสียแหล่งที่อยู่อาศัยในอัตราที่สูงอยู่แล้ว
ทำไมเอสโตเนียอันดับ 1
เอสโตเนียเคยเป็นประเทศที่ปล่อย CO2 สูงสุดเป็นอันดับ 2 ในสหภาพยุโรป แต่ปีนี้เอสโตเนียเป็นผู้นำในดัชนี EPI 2024 ด้วยผลงานการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (GHG) ลดลง 40% ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา โดยมีสาเหตุหลักมาจากการเปลี่ยนจากเผาไหม้หินน้ำมันหรือน้ำมันที่เกิดจากการทับถมของซากพืช-ซากสัตว์อยู่ใต้ชั้นหินดินดานเพื่อผลิตไฟฟ้า มาเป็นพลังงานที่สะอาดกว่า
นอกจากนั้น เอสโตเนียกำลังร่างข้อเสนอเพื่อให้บรรลุความเป็นกลางด้านคาร์บอนไดออกไซด์ และสร้างเครือข่ายการขนส่งสาธารณะที่มีความเป็นกลางทางคาร์บอนไดออกไซด์ในเมืองใหญ่ ๆ ภายในปี 2040
เหตุผลที่ในอดีตเอสโตเนียเคยเป็นผู้ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ต่อหัวที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 ในสหภาพยุโรป โดยการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ของเอสโตเนียมากกว่า 90 เปอร์เซ็นต์ มาจากการเผาไหม้หินน้ำมันเพื่อผลิตไฟฟ้า (ตามรายงานของ CEE Bankwatch Network ปี 2018) และเป็นประเทศที่มีเศรษฐกิจคาร์บอนเข้มข้นมากที่สุดในกลุ่มประเทศ OECD เหตุผลก็คือหินน้ำมันซึ่งเป็นหินตะกอนที่มีการขุดในเอสโตเนียเพื่อผลิตกระแสไฟฟ้าตั้งแต่ช่วงทศวรรษที่ 1950 และยังได้ถูกนำมาใช้เพื่อการผลิตเชื้อเพลิงดีเซลเหลวอีกด้วย
มลพิษที่มีความเข้มข้นสูงสร้างปัญหาสุขภาพให้กับคนในท้องถิ่น เด็ก ๆ ที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ที่มีการเผาไหม้หินน้ำมัน ทำให้เกิดโรคทางเดินหายใจ และอาจมีอายุขัยเฉลี่ยสั้นกว่าคนทั่วไปสี่ปี ดังนั้น เอสโตเนียจึงสร้างแผนพัฒนาพลังงานของประเทศ โดยมุ่งมั่นที่จะลดจำนวนการเสียชีวิตก่อนกำหนดอันเนื่องมาจากมลพิษลงร้อยละ 50 ภายในปี 2030
“คริสตี้ คลาส” รองรัฐมนตรีกระทรวง Green Transition ของเอสโตเนีย กล่าวว่า เอสโตเนียสามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลง 59% เมื่อเทียบกับปี 1990 ภาคพลังงานจะเป็นส่วนสำคัญที่สุดในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า เนื่องจากประเทศมีเป้าหมายที่จะผลิตไฟฟ้าที่ใช้จากพลังงานหมุนเวียนได้ 100% ภายในปี 2573
อย่างไรก็ตาม มหาวิทยาลัยเยลระบุว่า การพึ่งพาพลังงานชีวมวล (Biomass) ที่เพิ่มขึ้นของเอสโตเนีย ส่งผลกระทบต่อการอนุรักษ์ป่าไม้ จึงไม่ชัดเจนว่าจะสามารถรักษาอัตราการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอย่างรวดเร็วได้หรือไม่