ภาพยนตร์เรื่องดัง Infernal Affairs กลับมาเป็นที่พูดถึงและขายได้อีกครั้งในวาระ 20 ปี สองคนสองคม
วันที่ 23 สิงหาคม 2565 เอเชียวัน รายงานว่า ฮ่องกงกำลังจัดงาน เทศกาลภาพยนตร์นานาชาติฮ่องกง ครั้งที่ 46-The 46th Hong Kong International Film Festival (HKIFF) ในขณะนี้ หลังจากเลื่อนจากช่วงเดือนเมษายน ซึ่งโควิด โอมิครอน ระบาดในฮ่องกงระลอกที่ 5 มาเป็นช่วงเวลานี้ 15-31 ส.ค. 2022
ไฮไลต์หนึ่งของงาน คือการฉลองวาระครบรอบ 20 ปี ภาพยนตร์มาเฟียระทึกขวัญเรื่องโด่งดัง Infernal Affairs หรือ สองคนสองคม ผลงานการกำกับฯของผู้กำกับฯสองคม แอนดรูว์ เลา และ อลัน มัค ซึ่งเป็นการประชันบทบาทของสองพระเอกซูเปอร์สตาร์ เหลียงเฉาเหว่ย-หลิวเต๋อหัว ที่เคยปลุกให้วงการภาพยนตร์ฟื้นขึ้นมาอีกเฮือกหนึ่ง เมื่อปี 2002 และมีอีก 2 ภาคที่เกี่ยวเนื่องตามมา
ไตรภาคของ Infernal Affairs กลับมาฉายอีกครั้งในเทศกาลครั้งนี้ ด้วยความละเอียดสูงแบบ 4K ระหว่างวันที่ 22-24 ส.ค. และ 27 ส.ค. ขณะเดียวกัน ดิสก์สะสมไตรภาคแบบ Blue Ray ก็เริ่มออกขายตั้งแต่วันที่ 22 ส.ค.
ฟื้นจากความสิ้นหวัง
เซาท์ไชน่ามอร์นิงโพสต์ รายงานย้อนไปว่า ช่วงสิ้นสุดยุคสหัสวรรษ ผู้สร้างหนังฮ่องกงต่างสิ้นหวังและกังวลว่าอุตสาหกรรมหนังฮ่องกงจะอยู่รอดหรือไม่ หลังหนังของฮ่องกงครองตลาดบ็อกซ์ออฟฟิศได้แค่ถึงช่วงกลางทศวรรษ 1990 เท่านั้น ที่เหลือถูกหนังฮอลลีวูดและเกาหลีบุกตีตลาดอย่างหนัก
กระทั่งเมื่อ สองคนสองคม เข้าสู่โรงภาพยนตร์ ทั้งชื่อเสียงและรายได้ก็หลั่งไหลเข้าสู่อุตสาหกรรมภาพยนตร์ฮ่องกงอีกครั้ง
ฮอลลีวูดถึงกับมาซื้อบทไปดัดแปลงเป็นภาพยนตร์ The Departed กำกับฯโดย มาร์ติน สกอร์เซซี และได้รับรางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยมจากเวทีออสการ์ปี 2007 (พ.ศ.2560)
ทิม ยังส์ ที่ปรึกษาจากฮ่องกงในการจัดเทศกาลภาพยนตร์ อูดิเน ฟาร์อีสต์ ของอิตาลี กล่าวว่า Infernal Affairs มีความเหนือกว่าหนังฮ่องกงเรื่องอื่นในตอนนั้นมาก ทั้งการคัดเลือกนักแสดง ความสดใหม่ กล้าแหวกขนบของหนังฮ่องกง
ส่วน พอล โฟนอร์ฟ นักวิจารณ์หนังกล่าวถึงการเปิดตัวหนังเรื่องสองคนสองคม ว่าปัจจุบันนี้ชาวฮ่องกงไม่ค่อยต่อแถวดูหนัง จึงเป็นเรื่องที่น่ายินดีที่ยังมีคนอยากดูหนังภาษากวางตุ้งอีกครั้ง
ความสำเร็จมาจากบท
หนังเรื่องนี้มีกลิ่นอายของหนังฮ่องกงดั้งเดิมเกี่ยวกับเจ้าหน้าที่ตำรวจนอกเครื่องแบบและเรื่องราวเกี่ยวกับการเปลี่ยนโฉมหน้า คล้ายกับหนังของอเล็กซ์ เฉิง เรื่อง Man on the Brink ในปี 1981 ที่เกี่ยวกับความเจ็บปวดทางจิตใจและตัวตนของเจ้าหน้าที่รัฐที่ขายชาติ
แต่สองคนสองคมมีความซับซ้อนมากกว่า ทั้งฝ่ายตำรวจและฝ่ายคนร้าย และไม่มีบทตำรวจต่อสู้และไล่ล่า ตัวละครมีความเข้มข้นขึ้นและความตึงเครียดก็ก่อตัวขึ้นอย่างช้า ๆ
จัดอยู่ในหนังแก๊งนักเลง แต่ไม่มีฉากสู้กันและวางตัวนักเลงรุ่นเยาว์
ความสำเร็จส่วนใหญ่ของหนังมาจากบทที่เขียนไว้อย่างละเอียดก่อนถ่ายทำ แตกต่างจากการถ่ายทำหนังอื่น ๆ ทั่วไปในยุคปลาย 1980 และต้นยุค 1990 ที่ไม่ค่อยทำแบบนี้เพราะต้องเร่งรีบถ่ายทำและขาย
สองคนสองคม มีเนื้อหาดรามาเข้มข้น ฉากบู๊ไม่มาก แต่เล่นกับความรู้สึกคนดู ด้วยเรื่องราวเกี่ยวกับแก๊งมาเฟีย “หมิง” รับบทโดย หลิวเต๋อหัว ลูกน้องของ “บิ๊กเตี้ยแซม” (เจิ้งจื่อเหว่ย) ที่แทรกซึมเข้ามาในกองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรม
ขณะที่ “เหยิน” รับบทโดย เหลียงเฉาเหว่ย เป็นตำรวจนอกเครื่องแบบได้รับมอบหมายจากหัวหน้าทีม (หวงชิวเชิง) ให้แฝงตัวไปเป็นนักเลงอยู่ในก๊วนของแซม
ความขัดแย้งเกิดขึ้นเพราะทั้งสองต่างฝ่ายต่างหลอกอีกฝ่ายหนึ่งให้เปิดเผยตัวจริง จุดเปลี่ยนอยู่ที่หมิง คิดได้ว่าอยากจะอยู่ในฝั่งเดียวกับผู้รักษากฎหมาย แต่คิดจะฆ่าปิดปากทุกคนที่ล่วงรู้ความลับ โดยตนเองยังคงเป็นตำรวจต่อไป
อลัน มัค ผู้กำกับฯร่วมเขียนบทเวอร์ชันแรกกับเฟลิกซ์ ฉง จากนั้นไปชักชวนแอนดรูว์ เลา ให้มาร่วมกำกับ
มัคกล่าวว่าได้รับแรงบันดาลใจจากหนังฮอลลีวูดเรื่อง Face/Off (สลับหน้าล่าล้างนรก) ของจอห์น วู ซึ่งพระเอกผ่าตัดเปลี่ยนใบหน้าให้คล้ายกับอาชญากร ซึ่งโดนใจมัค แต่คิดว่าการผ่าตัดในหนังของวูดูไม่สมจริง จึงจินตนาการออกมาเป็นเรื่องสองคนสองคม
ความลงตัวของนักแสดง
การคัดเลือกนักแสดงทำได้สุดยอด ไม่เพียงแต่ได้หลิวเต๋อหัวและเหลียงเฉาเหว่ยมาแสดงนำ แต่ยังมีนักแสดงวัยรุ่นดาวรุ่งอย่างเฉินกวนซีและหยูเหวินเล่อมาร่วมแสดงด้วยในภาคสอง
ผู้กำกับฯแอนดรูว์ เลา ปล่อยให้หลิวเต๋อหัว และเหลียงเฉาเหว่ยเลือกบทกันเอง ว่าใครจะเป็นตัวร้ายหรือฮีโร่ ปรากฏว่าทั้ง 2 คนเลือกบทตรงกันข้ามกับที่เขาคิดไว้
ยังส์กล่าวว่าแคแร็กเตอร์ของตัวละครวางตัวได้ดีและโดดเด่น เล่นเข้าขากันได้อย่างราบรื่น ทั้งที่มีความคุกรุ่นอยู่ข้างในและเปี่ยมไปด้วยอารมณ์ที่ซับซ้อน หลิวเย็นชาและชั่วร้าย ส่วนเหลียงอบอุ่นและหดหู่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในบางตอนที่เข้าฉากกับหวงชิวเชิง เจิงจื้อเหว่ย และนางเอก เฉินฮุ่ยหลิน
เรื่องราวสอดคล้องกับแนวคิดทางพุทธศาสนา คำพูดสุดท้ายในหนังสื่อถึง “ตกนรกหมกไหม้ไม่รู้จบ” หลิวเต๋อหัว เป็นชาวพุทธกล่าวว่าคนที่ก่อกรรมทำผิดมหันต์จะต้องตกนรกอเวจีและได้รับทุกข์ทรมานแสนสาหัส
หนังเรื่องนี้มีมูลค่าสร้าง 40 ล้านดอลลาร์ฮ่องกง ได้รับความนิยมล้นหลาม มีกระแสวิจารณ์และประสบความสำเร็จด้านรายได้ โดยโกยเงินไปได้ถึง 43.7 ล้านดอลลาร์ฮ่องกง ในการฉายที่ฮ่องกง 19 วัน
รวมทั้งกวาดรางวัล 7 สาขาจากฮ่องกง ฟิล์ม อะวอร์ด ปี 2003 ซึ่งรวมถึงสาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยม ผู้กำกับฯยอดเยี่ยม และบทภาพยนตร์ยอดเยี่ยม และยังมีรายได้ 1.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐ จากการขายลิขสิทธิ์ให้ฮอลลีวูดไปรีเมกเป็น The Departed
ยังส์กล่าวว่าสองคนสองคมมีนักแสดงตัวท็อป การตลาดสุดปัง และการผลิตคุณภาพสูงแข่งกับฮอลลีวูด ได้รับการพูดถึงปากต่อปากส่งผลให้เป็นความภาคภูมิใจของฮ่องกง
ฉากจบสองเวอร์ชั่น
โฆษกของสตูดิโอมีเดีย เอเชีย บริษัทผู้ผลิตหนังกล่าวว่า เจ้าหน้าที่จีนแผ่นดินใหญ่ชมหนังเรื่องนี้แล้วคิดว่าไม่มีจริยธรรมและอาจจะทำให้ผู้ชมไขว้เขวไปในทางลบ และยอมรับไม่ได้ที่ตอนจบของหนังปล่อยให้คนชั่วลอยนวล จึงต้องทำตอนจบอีกเวอร์ชั่นหนึ่งสำหรับฉายในจีนแผ่นดินใหญ่
แผ่นดีวีดี ผู้ชมชาวฮ่องกงเลือกได้ว่าจะดูหนังภาษาจีนกลางที่จบแบบมีจริยธรรม หรือภาษาจีนกวางตุ้งที่ผิดจรรยาบรรณ
ปัจจุบัน การเซ็นเซอร์ในฮ่องกงเข้มงวดกว่าในปี 2002 มาก และไม่มีใครคาดเดาว่าจะถ่ายทำภาพยนตร์เกี่ยวกับการทุจริตของตำรวจเหมือนกับหนังสองคนสองคมในฮ่องกงปี 2022 ได้หรือไม่
……