ย้อนอ่านบทสัมภาษณ์ “บงจุนโฮ” ผู้กำกับ “Parasite” ที่กวาด 4 รางวัลใหญ่บนเวทีออสการ์

Photo by Karwai Tang/Getty Images

จากที่เข้าชิงรางวัล  Academy Awards ครั้งที่ 92 หรือรางวัลออสการ์ ปี 2020 ทั้งหมด 6 สาขา “Parasite” ภาพยนตร์เรื่องดังสัญชาติเกาหลีใต้ ผลงานผู้กำกับ บงจุนโฮ ประสบความสำเร็จคว้ามาถึง  4 รางวัลใหญ่ คือ รางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยม รางวัลผู้กำกับยอดเยี่ยม รางวัลภาพยนตร์ต่างประเทศยอดเยี่ยม และรางวัลบทภาพยนตร์ดั้งเดิมยอดยอดเยี่ยม

ความสำเร็จของ Parasite บนเวทีออสการ์ครั้งนี้ เป็นการสร้างประวัติศาสตร์ใหม่ให้ในการภาพยนตร์นานาชาติ คือ เป็นภาพยนตร์ที่ไม่ใช่ภาพยนตร์ภาษาอังกฤษ (non-English film) เรื่องแรกที่คว้ารางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยม ซึ่งเป็นรางวัลใหญ่ที่สุดของออสการ์ ขยับมาที่ระดับเอเชียก็สร้างประวัติเป็นภาพยนตร์เอเชียเรื่องแรกที่คว้ารางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยม และเป็นภาพยนตร์เอเชียเรื่องแรกที่คว้ารางวัลบทภาพยนตร์ดั้งเดิมยอดยอดเยี่ยม และแน่นอนว่า ถ้านับเฉพาะในเกาหลี นี่ก็เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ภาพยนตร์เกาหลีที่คว้ารางวัลออสการ์มาครอง

บงจุนโฮ ผู้กำกับภาพยนตร์เรื่องนี้ มีผลงานที่น่าสนใจมาแล้วหลายเรื่อง เช่น Memories of Murder (2003), The Host (2006),  Mother (2009), Snowpiercer (2013), Okja (2017) ซึ่งผลงานที่ผ่านมาทำให้เขาได้รับการยกย่องว่าเป็น “บิดาแห่งหนังเกาหลียุคใหม่” เลยทีเดียว และล่าสุด Parasite ที่พาเขาไปไกลกว่าที่เคยกับการสร้างสถิติเป็นผู้กำกับจากเกาหลีใต้คนแรกที่กวาดรางวัลออสการ์ได้ถึง 4 สาขา การันตีฉายา “บิดาแห่งหนังเกาหลียุคใหม่” ได้ดีจริง ๆ

สำหรับ Parasite เป็นภาพยนตร์แนวดราม่า-ระทึกขวัญ เล่าเรื่องด้วยพลอตง่าย ๆ ใกล้ตัวอย่างการหยิบเรื่องของชนชั้นในระบบทุนนิยมมาเล่าผ่านครอบครัวสองครอบครัวที่มีความแตกต่างทางด้านฐานะอย่างสิ้นเชิง ครอบครัวหนึ่งมีฐานะยากจนข้นแค้นสุด ๆ ส่วนอีกบ้านหนึ่งรวยระดับมีหัวหน้าครอบครัวเป็นซีอีโอบริษัท แต่แล้วก็มีเหตุให้สองบ้านนี้มาเจอกัน จนเกิดเป็นเรื่องสุดชุลมุนหลังจากนั้น

กลับมาย้อนอ่านบทสัมภาษณ์ผู้กำกับคนเก่ง บงจุนโฮ ที่ได้เปิดเผยหลายอย่างเกี่ยวกับหนังล่ารางวัลเรื่องนี้

ชื่อ “Parasite” มีความหมายว่าอย่างไร

ตอนแรกทุกคนต่างคาดหวังว่า “Parasite” จะต้องเป็นหนังสัตว์ประหลาดหรือหนังไซ-ไฟแน่นอน เพราะมันเชื่อมโยงจากหนังเรื่องก่อนของผม อย่าง “The Host” แต่ตัวละครในหนังเรื่องนี้คือมนุษย์ เป็นครอบครัวที่ใช้ชีวิตอยู่บนโลกนี้จริง ๆ อยากใช้ชีวิตผูกสัมพันธไมตรีกับผู้อื่น แต่มันไม่ได้ผลสำหรับพวกเขา ดังนั้นพวกเขาเลยถูกผลักให้ต้องมีความสัมพันธ์แบบปรสิต ผมมองว่ามันเป็นหนังแนวโศกสุข (โศกนาฏกรรมผสมสุขนาฏกรรม) ที่เต็มไปด้วยความตลก ความสยอง และความเศร้า เมื่อคำนึงถึงว่าคุณอยากใช้ชีวิตอย่างเปี่ยมสุข ประสบความสำเร็จ แต่มันยากเย็นเหลือเกิน ชื่อหนังมีความเย้ยหยัน ประมาณเดียวกับชื่อภาษาเกาหลีของ “Memories of Murder” ที่มีความหมายแฝงถึงความอบอุ่น ความทรงจำอันแสนสุขสันต์ แต่มันดูแปลกใช่ไหม ที่ชื่อความหมายดี ๆ ถึงเชื่อมโยงกับเหตุการณ์ฆาตกรรมได้ ตัวหนังแสดงให้เห็นถึงความทรงจำของยุคสมัยผ่านเหตุการณ์ฆาตกรรมต่อเนื่องที่ฮวาซ็อง ด้าน “Parasite” เองก็มีชื่อเรื่องที่เสียดสีเย้ยหยันในลักษณะคล้าย ๆ กัน

Parasite เป็นหนังประเภทไหน

เป็นหนังดราม่าชีวิตคนครับ แต่เล่าถึงยุคร่วมสมัย แม้พลอตเรื่องจะมาพร้อมเหตุการณ์และสถานการณ์ที่ค่อนข้างเป็นเอกลักษณ์โดดเด่นเฉพาะตัว แต่มันสามารถเกิดขึ้นได้จริงบนโลก อาจมองได้เหมือนกันว่ามันคือเหตุการณ์จริงเลย ตามข่าวหรือเรื่องในสื่อออนไลน์ แล้วเราเอามาทำเป็นหนังจอใหญ่ ดังนั้นมันจะมีเซนส์ของความสมจริง แต่ถ้ามีคนเรียกว่าเป็นหนังอาชญากรรม-ครอบครัว หนังตลก หนังดราม่าเศร้าสร้อย หรือหนังระทึกขวัญสั่นประสาท ผมก็ไม่ว่าอะไร ผมพยายามมากเพื่อพลิกแพลงความคาดหวังของคนดู และผมหวังว่าผมจะทำสำเร็จ

ครอบครัวที่เป็นจุดศูนย์กลางของ Parasite คือใครกัน

พวกเขาเป็นครอบครัวชนชั้นล่างอาศัยอยู่ในชั้นใต้ดินของอพาร์ตเมนต์ คาดหวังว่าอยากมีชีวิตที่ดี ไม่ได้ต้องการอะไรเป็นพิเศษ แต่ขนาดหวังเพียงแค่นั้นมันยังเป็นจริงยาก คนพ่อล้มเหลวด้านธุรกิจมาหลายครั้ง คนแม่มีความสามารถด้านกีฬา ฝึกฝนมานานแต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จ ส่วนลูกชายและลูกสาวก็สอบตกบ่อยจนเข้ามหาวิทยาลัยไม่ได้

กลับกันกับครอบครัวคุณพัค เขาทำงานเป็น CEO ของบริษัทด้านไอที (ไม่เกี่ยวข้องกับธุรกิจของกลุ่มทุน Chaebol แต่อย่างใด) เป็นคนเก่งมีความสามารถ ร่ำรวย เขามีภรรยาสาวแสนสวย มีลูกสาว และลูกชายน่ารักกำลังอยู่ในวัยเรียน แต่คุณพัคเป็นพวกบ้างาน พวกเขาถูกมองว่าเป็นครอบครัวในอุดมคติท่ามกลางบรรดากลุ่มชนชั้นสูงในสังคมทั้งหมด

เหตุผลที่ใช้ในการคัดเลือกนักแสดง

ในหนังเรื่องนี้สำคัญมากที่ต้องรวมตัวนักแสดงที่สามารถเล่นด้วยกันอย่างเข้าขา เป็นทีมที่เปี่ยมประสิทธิภาพแบบทีมฟุตบอล พวกเขาต้องทำให้เห็นภาพของความเป็นครอบครัวเดียวกันได้ตั้งแต่แรกเห็น ผมต้องคิดหนักมากครับ คนแรกที่ผมเลือกคือ ซงคังโฮ จากนั้นผมถ่าย “Okja” แล้วได้ร่วมงานกับ ชเววูชิก ผมว่าน่าจะดีเหมือนกันถ้าให้เขามาเล่นเป็นลูกของ ซงคังโฮ แล้วก็ได้ พัคโซดัม มาเล่นเป็นน้องสาว เธอมีฝีมือการแสดงที่ดีมาก มีความโดดเด่น ทำให้เส้นแบ่งความจริงดูพร่าเลือน การได้พวกเขามาเล่นสำคัญมากเพราะพวกเขาต้องอยู่ด้วยกันแล้วทำให้รู้สึกว่าเป็นครอบครัวเดียวกันจริง ๆ ส่วนจางฮเยจิน ผมชอบความเข้าใจของเธอและการแสดงออกถึงความแข็งแกร่งของเธอในหนังเรื่อง “The World of Us” ผมเลยเลือกเธอให้มารับบทเป็นภรรยาของ ซงคังโฮ

ส่วนครอบครัวตระกูลพัคนั้นผมไม่อยากสร้างภาพคลิเช่ให้เป็นครอบครัวชนชั้นนำแบบที่เราเห็นกันตามละครโทรทัศน์ ผมเลือกนักแสดงจากภาพลักษณ์ภูมิฐานที่ดี ผมประทับใจเสน่ห์หลากหลายแง่มุมของ อีซอนกยุน มาตลอด เลยเลือกเขามารับบทเป็นคุณพัค ส่วน โจยอจอง เธอทำให้ผมนึกถึงเพชรในตมที่ยังไม่ได้เจียระไน ผมเลยเลือกเธอเพราะหวังอยากเห็นเธอเปิดเผยความงดงามในส่วนลึกออกมา แม้สักเสี้ยวหนึ่งก็ยังดี นี่ไม่ใช่หนังที่มีตัวละครเอกเพียงตัวเดียว เพราะฉะนั้นการแสดงของทุกคนที่ต้องรับส่งกันอย่างเข้าขาจึงสำคัญอย่างยิ่ง ท้ายที่สุด ผมอยากขอบคุณพวกเขาจริง ๆ ที่สวมบทบาทได้อย่างยอดเยี่ยม เป็นทีมฟุตบอลที่ดีมากครับ

ภาพของสังคมในปัจจุบันที่ต้องการนำเสนอเป็นแบบไหน

ผมคิดว่าวิธีหนึ่งที่จะแสดงภาพของชนชั้นและความไม่เท่าเทียมในสังคมได้คือทำออกมาเป็นหนังตลกปนเศร้า เราอยู่ในยุคสมัยที่ทุนนิยมเรืองรองและไม่มีทางเลือกอื่น ไม่เพียงแค่ในเกาหลี แต่ทั่วทั้งโลกต่างเจอปัญหานี้ ไม่สามารถเพิกเฉยต่อระบบทุนนิยมได้ ในโลกแห่งความเป็นจริง วิถีชีวิตของครอบครัวตกอับแบบตัวละคร 4 คนในเรื่อง และครอบครัวตระกูลพัค ไม่น่ามีวันจะได้มาเจอกัน ตัวอย่างเดียวเท่านั้นที่จะนำพาทั้ง 2 ชนชั้นมาเจอกันได้คือมีการจ้างงาน เช่น ให้มาเป็นติวเตอร์ หรือจ้างเป็นคนใช้ในบ้าน กรณีแบบนั้นเกิดขึ้นแล้วจะทำให้ทั้ง 2 ชนชั้นใกล้ชิดกันมากพอจนสัมผัสได้ถึงลมหายใจของอีกฝ่าย ในหนังเรื่องนี้แม้จะไม่มีฝ่ายใดคิดร้ายต่อกัน แต่ทั้ง 2 ฝ่ายต่างถูกดึงให้เข้ามาอยู่ในสถานการณ์ที่ความผิดพลาดเพียงนิดเดียว สามารถนำไปสู่ความแตกแยกและแตกหักได้

ในสังคมทุนนิยมทุกวันนี้มีชนชั้นและวรรณะซึ่งมองไม่เห็นด้วยตาเปล่า เราแสร้งทำเป็นมองไม่เห็นปล่อยปละละเลย และไม่ค่อยให้ความสำคัญกับลำดับชั้นทางสังคมที่ตกทอดมาตั้งแต่ในอดีต แต่ความจริงคือมันมีเส้นแบ่งทางชนชั้นที่ไม่สามารถข้ามได้ ผมคิดว่าหนังเรื่องนี้แสดงให้เห็นรอยแยกดังกล่าวที่ปรากฏขึ้นระหว่างชนชั้น เป็นปัญหาซึ่งกันและกัน และยิ่งห่างออกจากกันมากขึ้นเรื่อย ๆ ในสังคมทุกวันนี้