“จอมโจรลูแปง” ฉบับแอนิเมชั่น 3D ความสนุกที่เด็กดูได้ ผู้ใหญ่ดูดี

ไม่บ่อยนักที่เราจะได้เห็นการ์ตูนญี่ปุ่นในเวอร์ชั่นภาพยนตร์แอนิเมชั่น 3 มิติ ที่เมื่อมองผ่าน ๆ อาจจะชวนให้เข้าใจว่าเป็นภาพยนตร์แอนิเมชั่นเรื่องใหม่ของดิสนีย์หรือเปล่า จนกระทั่งได้ยินเสียงพากย์ภาษาญี่ปุ่น และเห็นโลโก้โตโฮ (Toho) ปรากฏแทรกขึ้นมา อย่างในตัวอย่างภาพยนตร์แอนิเมชั่น 3 มิติเรื่องล่าสุดของสตูดิโอโตโฮที่มีชื่อว่า “Lupin III : The First” หรือชื่อในภาษาไทย “ลูแปงที่ 3 ฉกมหาสมบัติไดอารี่” ที่เข้าโรงฉายอยู่ในช่วงนี้

“จอมโจรลูแปง” หรือ “ลูแปงที่ 3” เดิมทีเป็นการ์ตูนมังงะ แต่งโดย “มังกี้พันช์” (Monkey Punch) ตีพิมพ์ครั้งแรกในปี 1967 และได้รับความนิยมอย่างมาก จนถึงปัจจุบัน มีการสร้างเป็นทีวีซีรีส์ทั้งหมด 291 ตอน และภาพยนตร์แอนิเมชั่นอีก 10 เรื่อง ภาพยนตร์เรื่องล่าสุดที่กำลังพูดถึงนี้เป็นครั้งแรกที่เรื่องราวของลูแปงถูกนำมาสร้างเป็นภาพยนตร์แอนิเมชั่น 3 มิติ ซึ่งผู้รับหน้าที่กำกับคือ ทากาชิ ยามาซากิ (Takashi Yamasaki) ผู้เคยฝากผลงานภาพยนตร์แอนิเมชั่น 3 มิติเรื่อง Stand by Me Doraemon เอาไว้ในปี 2014

“ลูแปงที่ 3 ฉกมหาสมบัติไดอารี่” เป็นเรื่องราวของจอมโจรลูแปงที่ 3 และผองเพื่อน ร่วมมือกับหญิงสาวชื่อเลติเชีย (Leatitia) ในการผจญภัยเพื่อแย่งชิงและค้นหาความลับจากสมุดบันทึกของเบรส์ซง (Bresson”s Diary) ที่จะเชื่อมโยงกับตัวตนที่แท้จริงของลูแปงกับเลติเชีย และทุกคนต้องร่วมมือกันเพื่อหยุดยั้งแผนการการกลับมาของพรรคนาซีที่นำโดยอดอล์ฟ ฮิตเลอร์!

ในภาพยนตร์ “ลูแปงที่ 3 ฉกมหาสมบัติไดอารี่” เราจะได้เห็นตัวละครในมังงะอย่างครบถ้วน ทั้งสุดยอดนักแม่นปืน “จิเก็น ไดสุเกะ” ทายาทซามูไรนักดาบในตำนาน

“อิชิคาวะ โกเอมอนที่ 13” จอมโจรสาวคู่รักคู่แค้นของลูแปงอย่าง “มิเนะ ฟูจิโกะ” รวมถึงสารวัตรฝ่ายตำรวจสากลที่คอยตามล่าลูแปงมาโดยตลอด “เซนิกาตะ โคอิจิ”

ซึ่งแต่ละตัวละครแสดงความสามารถพิเศษของตัวเองออกมาอย่างเต็มที่ ทั้งความเก่งกาจเฉลียวฉลาดของลูแปง ฝีมือการยิงปืนของจิเก็น ความคมของดาบซานเท็ตสึเคนของโกเอมอน ความเจ้าเล่ห์ของฟูจิโกะ และการไล่ล่าลูแปงของสารวัตรโคอิจิ ชวนให้นึกถึงบรรยากาศที่คุ้นเคยตามแบบฉบับการ์ตูนญี่ปุ่นยุค 60

ด้วยความที่ผู้สร้างพยายามรักษามู้ดแอนด์โทนของต้นฉบับเอาไว้อย่างครบครัน มีข้อดีคือ ทำให้ผู้ชมที่คุ้นเคยกับการ์ตูนเรื่องนี้อยู่แล้ว สามารถอิ่มเอมไปกับเรื่องเล่า และการดำเนินเรื่องของตัวละครอย่างเต็มที่ แต่อีกด้านหนึ่ง อารมณ์ความรู้สึกนั้นกลับทำให้ภาพยนตร์เรื่องนี้ขาดความสดใหม่ในการนำเสนอเรื่องราว การหักมุมที่คาดเดาได้ ประหนึ่งว่ากำลังอ่านหนังสือการ์ตูนหรือดูอะนิเมะเวอร์ชั่น 3 มิติในโรงภาพยนตร์

อย่างไรก็ดี การที่ภาพยนตร์เรื่องนี้ไม่ได้มีบทที่ซับซ้อน ทำให้ผู้ชมสามารถปล่อยสมอง และเอ็นจอยกับความบันเทิงที่ภาพยนตร์มอบให้ได้อย่างไม่ต้องคิดเยอะ มุขตลกที่ถือว่าทำออกมาได้อย่างลงตัว เด็กดูได้ ผู้ใหญ่ดูดี ถือว่ามาในจังหวะที่เหมาะสม ท่ามกลางกระแสภาพยนตร์รางวัลที่กลับมาฉายในช่วงต้นปี

ทำให้ภาพยนตร์เรื่องนี้สามารถเปลี่ยนบรรยากาศของคนที่อยากจะหลุดออกมาจากภาพยนตร์แนวรางวัล และภาพยนตร์ไทยแนวตลกที่ครองโรงภาพยนตร์ในบ้านเราได้เป็นอย่างดี