วีซ่าฟรีไทย-จีนหนุนคนไทยแห่เที่ยวนอก เผยตัวเลขคนไทยเที่ยวจีนเพิ่ม 3 เท่าตัว บริษัททัวร์เอาต์บาวนด์คึกคัก แพ็กเกจเที่ยวจีนช่วงวันหยุดสงกรานต์ขายล่วงหน้าเกลี้ยง ชี้กระแสตอบรับดีเกินคาด ฝั่งจีนไกด์ไม่พอ โรงแรมเริ่มแน่น มั่นใจไตรมาส 3 นี้ตัวเลขไปจีนพุ่งแซงหน้าญี่ปุ่น “การบินไทย-แอร์เอเชีย” ขยับเพิ่มไฟลต์รองรับ ผลสำรวจพบ “เสฉวน-ยูนนาน-ปักกิ่ง-หูหนาน-เซี่ยงไฮ้” ท็อป 5 เดสติเนชั่นฮอตฮิต ราคาแพ็กเกจแค่ 2-3 หมื่นบาท
นางสาวฐาปนีย์ เกียรติไพบูลย์ ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เปิดเผยถึงผลจากการเปิดวีซ่าฟรีระหว่างประเทศไทยและสาธารณรัฐประชาชนจีนตั้งแต่ 1 มีนาคม 2567 ที่ผ่านมาว่า จากข้อมูลของ Trip.com Group ระบุว่า ตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม 2567 ซึ่งเป็นวันแรกในการให้วีซ่าฟรีระหว่าง 2 ประเทศ (ไทย-จีน) มีจำนวนนักท่องเที่ยวจีนที่เดินทางมาประเทศไทยเพิ่มขึ้นกว่า 30%
ขณะที่นักท่องเที่ยวไทยเดินทางไปประเทศจีนนั้นเพิ่มขึ้นถึง 3 เท่าเมื่อเทียบกับปีที่แล้ว และเพิ่มขึ้นกว่า 160% เมื่อเทียบกับปี 2562 และมากกว่า 10% เมื่อเทียบกับเดือนที่แล้ว สะท้อนถึงความนิยมของประเทศจีนในกลุ่มนักท่องเที่ยวไทย ในทางกลับกันตลาดนักท่องเที่ยวจีนยังเป็นตลาดสำคัญที่สูงสุดอันดับ 1 ของประเทศไทย
ทัวร์สงกรานต์ขายเกลี้ยง
นายธนพล ชีวรัตนพร อุปนายกสมาคม TTAA และกรรมการผู้จัดการ บริษัท ควอลิตี้ เอ็กซ์เพรส จำกัด และบริษัท แตงโม ทัวร์ จำกัด บริษัทที่เชี่ยวชาญด้านการท่องเที่ยว ทัวร์ ทั้งในประเทศและต่างประเทศ เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า หลังจากที่รัฐบาลไทยและสาธารณรัฐประชาชนจีนใช้มาตรการยกเว้นการตรวจลงตรา (วีซ่าฟรี) ระหว่างกันตั้งแต่ 1 มีนาคมที่ผ่านมา พบว่า ความต้องการเดินทางท่องเที่ยวของคนไทยไปจีนเพิ่มสูงขึ้นมากกว่า 1 เท่าตัว เมื่อเทียบกับปี 2562
รวมถึงตัดสินใจเดินทางง่ายขึ้น ไม่ต้องวางแผนล่วงหน้าเป็นเวลานานเหมือนที่ผ่านมา ประกอบกับการขายในปัจจุบันเป็นการขายแพ็กเกจในช่วงวันหยุดเทศกาลสงกรานต์ ยิ่งทำให้ได้รับการตอบรับดีเกินคาด
“ตอนนี้ผู้ประกอบการนำเที่ยวที่ทำตลาดเอาต์บาวนด์คึกคักกันพอสมควร ของผมเองตอนนี้แพ็กเกจทัวร์ในช่วงสงกรานต์ก็ขายออกไปหมดแล้ว โดยเดสติเนชั่นที่ขายดีคือ คุนหมิง เฉิงตู และฉางชา ซึ่งระดับราคาก็ยังสามารถทำราคาที่ดีได้อยู่ กล่าวคือ ประมาณ 20,000-30,000 บาทสำหรับแพ็กเกจทัวร์ที่ไม่มีช็อปปิ้ง” นายธนพลกล่าว
ไกด์ไม่พอ-โรงแรมเริ่มแน่น
นายธนพลกล่าวว่า กระแสการตอบรับในช่วงที่ผ่านมาถือว่าดีเกินคาด ผู้ประกอบการนำเที่ยวในฝั่งจีนเองก็ไม่คิดว่าตลาดจะดีขนาดนี้ ทำให้เตรียมความพร้อมรับมือไม่ทัน ปัจจุบันเริ่มเห็นปรากฏการณ์ไกด์นำเที่ยวไม่เพียงพอ เนื่องจากไกด์เดิม ๆ บางส่วนได้ออกไปทำธุรกิจอื่น และสร้างใหม่ขึ้นมาทดแทนไม่ทัน รวมถึงโรงแรมห้องพักก็เริ่มหนาแน่นขึ้นด้วย
ขณะที่ที่นั่งสายการบินในขณะนี้ยังกลับมาไม่เต็มที่ เนื่องจากตลาดคนจีนมาเที่ยวไทยยังเป็นกลุ่มเดินทางด้วยตัวเอง (FIT) และกลุ่มอินเซนทีฟเป็นหลัก ส่วนกลุ่มทัวร์ซีรีส์ (แพ็กเกจทัวร์) ยังไม่กลับมา อย่างไรก็ตาม คาดการณ์ว่าสายการบินทั้งในฝั่งจีนและฝั่งไทยจะเพิ่มเส้นทางและความถี่มากขึ้นในช่วงไตรมาส 3 ปีนี้
“ส่วนตัวผมมองว่าแนวโน้มคนไทยเที่ยวจีนจะดีต่อเนื่อง เนื่องจากจีนเป็นประเทศที่มีความปลอดภัยสูงกว่าทุกประเทศ และมากกว่าญี่ปุ่น เพราะจีนเขามีมาตรฐาน และคาดว่าจำนวนคนไทยออกไปเที่ยวจีนจะแซงหน้าจำนวนคนไทยไปเที่ยวญี่ปุ่นได้ในช่วงไตรมาส 3 นี้เช่นกัน” นายธนพลกล่าวและว่า
อย่างไรก็ตาม หากรวมทั้งปียังเชื่อว่าปีนี้ตลาดญี่ปุ่นจะยังเป็นตลาดอันดับ 1 ที่คนไทยไปเที่ยวมากที่สุดที่ประมาณ 1.2 ล้านคน ส่วนจีนคาดว่าจะมีจำนวนที่ราว 900,000-1,000,000 คน
คาดตลาดจีนเทียบชั้นญี่ปุ่น
ขณะที่แหล่งข่าวจากบริษัททัวร์เอาต์บาวนด์อีกรายหนึ่งที่กล่าวกับ “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า มั่นใจว่าจำนวนคนไทยไปเที่ยวจีนในปี 2567 นี้จะมีจำนวนประมาณ 1,000,000-1,200,000 คน หรือเพิ่มขึ้น 2 เท่าตัวเมื่อเทียบกับปี 2562 ที่มีจำนวนประมาณ 600,000 คน และมีจำนวนใกล้เคียงกับคนไทยเที่ยวญี่ปุ่นที่คาดว่าจะมีจำนวน 1,200,000 คน
“เชื่อว่าหลังจากที่จีนให้วีซ่าฟรีกับไทย ตลาดคนไทยไปเที่ยวจีนจะโตแบบก้าวกระโดด เนื่องจากจีนเป็นประเทศที่พัฒนาแหล่งท่องเที่ยวที่ดีมากในช่วงวิกฤตโควิด ที่สำคัญเป็นประเทศที่มีแหล่งท่องเที่ยวที่หลากหลาย ทั้งแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติ แมนเมด แหล่งช็อปปิ้ง แหล่งมรดกโลก ฯลฯ รวมถึงต้นทุนการเดินทางที่ไม่สูงจนเกินไป หรือเฉลี่ยอยู่ที่ราว 20,000-30,000 บาทเท่านั้น” แหล่งข่าวกล่าว
“การบินไทย-แอร์เอเชีย” เพิ่มไฟลต์
นายชาย เอี่ยมศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และนายกรกฎ ชาตะสิงห์ ประธานเจ้าหน้าที่สายการพาณิชย์ บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) ร่วมกันกล่าวกับ “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า สำหรับตลาดจีนนั้น ในตารางบินฤดูร้อนที่จะเริ่มปลายเดือนมีนาคมนี้ การบินไทยมีแผนเพิ่มความถี่เที่ยวบินในเส้นทางสู่จีนรวม 35 เที่ยวบินต่อสัปดาห์ โดยเพิ่มความถี่เพื่อให้สอดรับกับความต้องการของตลาด
โดยเพิ่มความถี่ในเส้นทางกรุงเทพฯ-ปักกิ่ง จากจำนวน 7 เที่ยวบินต่อสัปดาห์ เป็น 11 เที่ยวบินต่อสัปดาห์ เส้นทางกรุงเทพฯ-เซี่ยงไฮ้ จากจำนวน 7 เที่ยวบินต่อสัปดาห์ เป็น 10 เที่ยวบินต่อสัปดาห์ เส้นทางกรุงเทพฯ-เฉิงตู จากจำนวน 5 เที่ยวบินต่อสัปดาห์ เป็น 7 เที่ยวบินต่อสัปดาห์ และเส้นทางกรุงเทพฯ-คุนหมิง จากปัจจุบันจำนวน 4 เที่ยวบินต่อสัปดาห์ เป็น 7 เที่ยวบินต่อสัปดาห์
เช่นเดียวกับสายการบินไทยแอร์เอเชียที่มีแผนเพิ่มเที่ยวบินในเส้นทางที่มีดีมานด์สูงเช่นกัน อาทิ เส้นทางกรุงเทพฯ-ปักกิ่ง จากปัจจุบันที่ให้บริการเส้นทางบินสู่จีนรวม 11 เส้นทาง ประกอบด้วย เซี่ยงไฮ้ (ทั้งดอนเมืองและสุวรรณภูมิ) กว่างโจว เสิ่นเจิ้น เฉิงตู ฉางชา คุนหมิง ฉงชิ่ง ซีอาน หางโจว อู่ฮั่น และซัวเถา
นายสันติสุข คล่องใช้ยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายการบินไทยแอร์เอเชีย กล่าวว่า การลงนามความตกลงวีซ่าฟรีไทย-จีน ตั้งแต่ 1 มีนาคม 2567 ที่ผ่านมา เป็นตัวกระตุ้นการเดินทางและเศรษฐกิจท่องเที่ยวระหว่าง 2 ประเทศได้เป็นอย่างดี
แหล่งข่าวจากสายการบินไทยแอร์เอเชีย กล่าวอีกว่า ก่อนหน้านี้สายการบินไทยแอร์เอเชีย ได้ทำแคมเปญต้อนรับมาตรการวีซ่าฟรีของทั้ง 2 ประเทศ บินตรงจากกรุงเทพฯ (ดอนเมืองและสุวรรณภูมิ) สู่จีน ราคารวมเที่ยวเดียวเริ่มต้นที่ 2,490 บาทไปรอบหนึ่งแล้ว
“ที่ผ่านมาคนจีนเข้าไทยมีจำนวนเยอะอยู่แล้ว ตอนนี้คนไทยไปจีนเพิ่มขึ้นสูงขึ้นก็จริง แต่ฐานที่ผ่านมายังน้อย เพราะมีข้อจำกัดเยอะมาก เราจึงต้องเพิ่มอย่างระมัดระวังและมอนิเตอร์อย่างใกล้ชิด” แหล่งข่าวกล่าว
“เสฉวน-ยูนนาน-ปักกิ่ง” ฮอต
ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า ข้อมูลจากรายงานของบริษัท ดาต้าเซ็ต จำกัด ซึ่งรวบรวมข้อมูลผ่านเครื่องมือ DXT360 ฟังเสียงในสังคมออนไลน์ (Social Listening) และนำมาวิเคราะห์ในช่วงวันที่ 1 มกราคม-20 กุมภาพันธ์ 2567 ระบุว่า จากการโปรโมตของบริษัททัวร์ พบว่ามณฑลของจีนที่เป็นที่นิยมมากที่สุด 5 อันดับแรกคือ เสฉวน 15.95% ยูนนาน 14.27% ปักกิ่ง 12.32% หูหนาน 12.06% เซี่ยงไฮ้ 9.08% และอื่น ๆ
โดยสถานที่ท่องเที่ยวที่บริษัททัวร์นำมาโปรโมตในโปรแกรมท่องเที่ยวมากที่สุดในมณฑลเสฉวนคือ อุทยานแห่งชาติจิ่วจ้ายโกว รองลงมาคือ อุทยานหวงหลง หรือหุบเขามังกรเหลือง หมีแพนด้ายักษ์ปีนตึก วัดต้าฉือ และภูเขาสี่ดรุณี
ส่วนมณฑลยูนนาน เมืองที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวเด่น เช่น เมืองคุนหมิง เมืองลี่เจียง เมืองต้าหลี่ สถานที่ท่องเที่ยวสำคัญที่บริษัททัวร์นำมาโปรโมตในโปรแกรมท่องเที่ยวมากที่สุดคือ ภูเขาหิมะมังกรหยก รองลงมาคือ เมืองโบราณลี่เจียง ทะเลสาบไป๋สุ๋ยเหอะ ช่องแคบเสือกระโจน เมืองโบราณแชงกรีลา ฯลฯ
ขณะที่สถานที่ท่องเที่ยวที่บริษัททัวร์นำมาโปรโมตในโปรแกรมท่องเที่ยวมากที่สุดในปักกิ่งคือ กำแพงเมืองจีน รองลงมาคือ จัตุรัสเทียนอันเหมิน พระราชวังต้องห้าม หอฟ้าเทียนถาน วัดลามะ และยูนิเวอร์แซลสตูดิโอ
ส่วนมณฑลหูหนาน อยู่ทางภาคกลางของจีน สถานที่ท่องเที่ยวที่บริษัททัวร์นำมาโปรโมตในโปรแกรมท่องเที่ยวมากที่สุดคือ อุทยานแห่งชาติจางเจียเจี้ย เขาเทียนเหมินซาน หรือประตูสวรรค์ หุบเขาอวตาร เมืองโบราณเฟิ่งหวง และล่องเรือแม่น้ำถัวเจียง
สำหรับนครเซี่ยงไฮ้สถานที่ท่องเที่ยวที่บริษัททัวร์นำมาโปรโมตในโปรแกรมท่องเที่ยวส่วนใหญ่คือ เซี่ยงไฮ้ ดิสนีย์แลนด์ หอไข่มุก ทะเลสาบซีหู หาดไว่ทาน หรือหาดเจ้าพ่อเซี่ยงไฮ้ และล่องเรือทะเลสาบหนานหู
ขายแพ็กเกจทัวร์ 2-3 หมื่นบาท
นอกจากนี้ ยังระบุด้วยว่า จากการสำรวจวิเคราะห์ข้อมูลการเสนอขายแพ็กเกจท่องเที่ยวในประเทศจีนทางโซเชียลมีเดีย พบว่าบริษัททัวร์ส่วนใหญ่มักนำเสนอแพ็กเกจท่องเที่ยวใน 2 ช่วงราคาคือ ระดับช่วงราคาตั้งแต่ 16,000-20,000 บาท และช่วงราคา 26,000-30,000 บาท และมีทัวร์ไพรเวตที่มีราคามากกว่า 50,000 บาท ซึ่งส่วนใหญ่ไม่ค่อยมีการโปรโมตผ่านช่องทางโซเชียลมีเดียมากนัก โดยจะเน้นการสื่อสารในช่องทาง LINE Official เนื่องจากเป็นระดับ Exclusive ที่มักเสนอขายให้แก่ผู้ติดตาม
โดยทริปท่องเที่ยวยอดนิยมที่บริษัททัวร์ส่วนใหญ่จัดทำแพ็กเกจทัวร์เสนอขายนักท่องเที่ยวไทยคือ ทริป 5 วัน 4 คืน รองลงมา 4 วัน 3 คืน และ 6 วัน 5 คืน ตามลำดับ ซึ่งราคาแพ็กเกจจะผันแปรไปตามจำนวนคืนที่เข้าพักในโรงแรม และสายการบินถูกเรียกใช้บริการ โดยเหมารวมกับแพ็กเกจทัวร์มากที่สุดคือ แอร์ไชน่า รองลงมาคือ ไทยเวียตเจ็ท และไทยแอร์เอเชีย
เที่ยวบินจีนเข้าไทย 6.6 ล้านที่นั่ง
รายงานข่าวจากการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เผยถึงสถานการณ์การท่องเที่ยวของไทยว่า ตั้งแต่ 1 มกราคม-10 มีนาคม 2567 ประเทศไทยมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาแล้ว 7.42 ล้านคน โดยนักท่องเที่ยวจีนยังครองจำนวนสูงสุดอันดับ 1 จำนวน 1.36 ล้านคน และคาดว่าปีนี้ทั้งปีจะมีนักท่องเที่ยวจีนรวมประมาณ 7.3 ล้านคน
โดยจากการมอนิเตอร์ข้อมูลประจำเดือนกุมภาพันธ์ 2567 พบว่ามีจำนวนเที่ยวบินบินออกจากจีนจำนวน 40 พื้นที่สู่ 4 ท่าอากาศยานหลักของไทย ได้แก่ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ท่าอากาศยานดอนเมือง ท่าอากาศยานภูเก็ต และท่าอากาศยานเชียงใหม่ จำนวน 4,467 เที่ยวบิน รวม 828,544 ที่นั่ง
ทั้งนี้ คาดว่าตลอดทั้งปี 2567 นี้จะมีจำนวนที่นั่งสายการบินจากสาธารณรัฐประชาชนจีนเข้าประเทศไทยประมาณ 6.6 ล้านที่นั่ง แบ่งเป็นไตรมาส 1 จำนวน 2.97 ล้านที่นั่ง ไตรมาส 2 จำนวน 1.27 ล้านที่นั่ง ไตรมาส 3 จำนวน 1.26 ล้านที่นั่ง และไตรมาส 4 จำนวน 1.10 ล้านที่นั่ง (ดูตารางประกอบ)
ไทยเที่ยวนอกปีนี้ 8-10 ล้านคน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ก่อนหน้านี้นายเจริญ วังอนานนท์ นายกสมาคมไทยบริการท่องเที่ยว (TTAA) กล่าวว่า สมาคมคาดการณ์ว่าภาพรวมตลาดทัวร์เอาต์บาวนด์ หรือคนไทยเที่ยวต่างประเทศในปี 2567 จะมีจำนวนประมาณ 8-10 ล้านคน เพิ่มขึ้นประมาณ 5-10% เมื่อเทียบกับปี 2566 และกลับมาใกล้เคียงกับปี 2562 ก่อนโควิดระบาดที่มีประมาณ 10-11 ล้านคน
โดยจุดหมายปลายทางที่คนไทยนิยมไปเที่ยวต่างประเทศสำหรับปีนี้ยังคงเป็นญี่ปุ่น และมีอัตราการเดินทางซ้ำสูงมาก ทั้งในเมืองหลักและเมืองรอง โดยคาดว่าปี 2567 จะมีคนไทยไปเที่ยวญี่ปุ่นราว 1.2-1.5 ล้านคน ใกล้เคียงหรือดีกว่าปี 2562 ที่มีประมาณ 1.3 ล้านคน และสูงกว่าปี 2566 ที่ผ่านมาที่มีประมาณ 1 ล้านคน รองลงมาคือ จีน ที่คาดว่าจะมีจำนวนที่ประมาณ 800,000-1,000,000 คน