
AOT เปิดสถิติ 6 เดือนแรกปี’68 สนามบินสุวรรณภูมิผู้โดยสารพุ่ง 48 ล้านคน ไฟลต์บินเพิ่ม 8.46% นักท่องเที่ยวจีนเดินทางเข้า-ออก สูงสุดเป็นอันดับ 2 รองจากคนไทย ขณะที่ “อินเดีย-รัสเซีย” แนวโน้มโตแรง ธุรกิจปรับเกมรับกระแสเปลี่ยน
นางกรรณิการ์ เปรมประเสริฐ รองผู้อำนวยการท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ (สายปฏิบัติการ 2) บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) ทอท. หรือ AOT เปิดเผยกับ “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า จากสถิติการเดินทางเข้าประเทศของนักท่องเที่ยวต่างชาติในปัจจุบันนักท่องเที่ยวจีนยังเป็นกลุ่มหลักที่เดินทางเข้ามาในประเทศไทย

โดยจากรายงานสถิติผู้โดยสารและเที่ยวบิน ณ ท่าอากาศยานนานาชาติสุวรรณภูมิ ในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2568 (มกราคม-มิถุนายน) พบว่า มีเที่ยวบินรวมทั้งสิ้น 278,923 เที่ยวบิน เพิ่มขึ้น 8.46% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน มีจำนวนผู้โดยสารทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติที่เดินทางเข้า-ออกผ่านท่าอากาศยานนานาชาติสุวรรณภูมิในช่วงเวลาดังกล่าวจำนวนรวม 48,025,451 คน เพิ่มขึ้น 6.79% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา
เมื่อแยกตามสัญชาติพบว่า 5 อันดับแรกได้แก่ 1.ไทย จำนวน 6,307,344 คน ลดลง 6.07% คิดเป็น 17.82% ของผู้โดยสารทั้งหมด 2.จีน จำนวน 5,222,836 คน ลดลง 12.19% คิดเป็น 14.76% 3.อินเดีย จำนวน 2,246,710 คน เพิ่มขึ้น 9.28% คิดเป็น 6.34% 4. เกาหลีใต้ จำนวน 1,725,020 คน ลดลง 22.54% คิดเป็น 4.83% และ 5. ญี่ปุ่น 1,408,167 คน ลดลง 8.77% คิดเป็น 3.98%
อย่างไรก็ตาม หากดูพฤติกรรมและการใช้จ่ายพบว่า นักท่องเที่ยวยังมีมูลค่ายังไม่กลับมาเหมือนเดิม ทำให้หลายธุรกิจต้องปรับกลยุทธ์เพื่อรองรับความเปลี่ยนแปลง โดยในส่วนของผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวนั้นเริ่มมองหาตลาดใหม่ที่มีศักยภาพในการใช้จ่ายที่สูงขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มนักท่องเที่ยวจากอินเดียและรัสเซียซึ่งมีแนวโน้มการเดินทางเข้ามาในประเทศไทยเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วงหลัง ๆ นี้
ตัวอย่างที่ชัดเจนคือ กลุ่มธุรกิจค้าปลีกเพื่อการท่องเที่ยวอย่างคิง เพาเวอร์ ดิวตี้ฟรี ได้เริ่มเปิดรับสมัครล่ามภาษารัสเซียและภาษาฮินดี เพื่อรองรับจำนวนนักท่องเที่ยวจาก 2 ประเทศนี้ซึ่งมีอัตราการขยายตัวที่เพิ่มสูงขึ้น ขณะที่ล่ามภาษาจีนแม้ว่าความต้องการจะไม่มากเหมือนในช่วงก่อนโควิดแต่ก็ยังมีความจำเป็นอยู่
“จำนวนนักท่องเที่ยวชาวจีนยังคงเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง แต่พฤติกรรมด้านการใช้จ่ายยังไม่ฟื้นตัวอย่างเต็มที่จากภาวะก่อนเกิดโควิด-19 สะท้อนถึงผลกระทบจากเศรษฐกิจโลก และความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์ โดยเฉพาะสงครามในหลายภูมิภาคที่ยังคงยืดเยื้อ ส่งผลให้นักท่องเที่ยวจีนระมัดระวังการใช้จ่ายมากขึ้น” นางกรรณิการ์กล่าว
นางกรรณิการ์กล่าวด้วยว่า จากตัวเลขดังกล่าวข้างต้นสะท้อนถึงพฤติกรรมการเดินทางที่เปลี่ยนไป โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจากอินเดียที่มีอัตราการเติบโตโดดเด่นที่สุด และกลายเป็นกลุ่มที่หลายธุรกิจจับตามองอย่างใกล้ชิด ขณะที่นักท่องเที่ยวรัสเซียแม้จะยังไม่ติดท็อป 5 แต่ก็มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องทั้งในเชิงปริมาณและคุณภาพของการใช้จ่าย
“ตอนนี้เรายังรอดูข้อมูลตัวเลขจำนวนนักท่องเที่ยวจีนอย่างเป็นทางการจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งจะเป็นปัจจัยสำคัญในการประเมินแนวโน้มตลาดในช่วงครึ่งปีหลังต่อไปว่า การเดินทางของนักท่องเที่ยวจีนจะมีทิศทางฟื้นตัวหรือชะลอตัวลงต่อเนื่องไปอีก” นางกรรณิการ์กล่าว
นางกรรณิการ์กล่าวเพิ่มเติมอีกว่า สิ่งที่เกิดขึ้นถือเป็นบททดสอบสำคัญของภาคธุรกิจไทยในการปรับตัวต่อความเปลี่ยนแปลงของโครงสร้างตลาดนักท่องเที่ยวที่ไม่สามารถพึ่งพาตลาดหลักเพียงกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งอีกต่อไป โดยเฉพาะในยุคที่ความไม่แน่นอนกลายเป็นเรื่องปกติใหม่ (New Normal)
“วันนี้เราเห็นแล้วว่าไม่เพียงแค่นักท่องเที่ยวจีนที่เปลี่ยนแปลง แต่ตลาดโดยรวมก็เปลี่ยนเร็ว ธุรกิจที่พร้อมจะยืดหยุ่นและปรับตัวจะอยู่รอดและเติบโตได้ในระยะยาว” นางกรรณิการ์กล่าว