ภูเก็ต แซนด์บอกซ์ “ทางรอด” ฟื้นเศรษฐกิจไทย ?

พิพัฒน์ รัชกิจประการ
พิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวฯ

ก่อนการระบาดของไวรัสโควิด-19 ปี 2562 ประเทศไทยมีรายได้จากการท่องเที่ยวรวม 2.99 ล้านล้านบาท มีนักท่องเที่ยวต่างชาติ 39.9 ล้านคน ปี 2563 เป็นปีที่ได้รับผลกระทบจากโควิดในช่วง 9 เดือนหลัง (เมษายน-ธันวาคม) ประเทศไทยมีรายได้จากการท่องเที่ยวรวม 8.14 แสนล้านบาท มีนักท่องเที่ยวต่างชาติ 6.7 ล้านคน

ผู้ประกอบการแห่ปิดตัวทั้งชั่วคราวและถาวร คนในภาคแรงงานท่องเที่ยวตกงานพุ่งกว่า 1 ล้านคน เศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ “ย่อยยับ” คนไทยทุกชนชั้นได้รับผลกระทบกันถ้วนหน้า

“ฟื้นเศรษฐกิจ” โจทย์ใหญ่

แหล่งข่าวในภาคธุรกิจโรงแรมรายหนึ่งวิเคราะห์ว่า โจทย์ใหญ่ของภาครัฐในเวลานี้คือ นอกจากการควบคุมการแพร่ระบาดแล้ว จำเป็นต้องเร่งฟื้นฟูเศรษฐกิจควบคู่ไปด้วย โดย “ทางรอด” ตอนนี้คือ การขับเคลื่อนเพื่อเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวต่างชาติโดยไม่กักตัว (state quarantine) เพื่อดึงให้ต่างชาติเข้ามาใช้จ่ายในประเทศ กระตุ้นให้เกิดการหมุนเวียนของระบบเศรษฐกิจในประเทศ

โดยจะเห็นว่าแม้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิดจะยังหนัก แต่ภาครัฐยังยืนยันเดินหน้านโยบายการเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติตามแผนของ “ภูเก็ต แซนด์บอกซ์” คือ 1 กรกฎาคมนี้

สะท้อนชัดเจนจากคำให้สัมภาษณ์ของ “สุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์” รองนายกรัฐมนตรี ที่บอกว่า นายกรัฐมนตรี (พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา) ได้สั่งการให้ทำรายละเอียดแผนปฏิบัติการเชิงรุกเพื่อดึงดูดการลงทุนและฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศ โดย 1 ใน 2 ของแผนดังกล่าวคือการสร้างรายได้จากการท่องเที่ยวนั่นเอง

สถานการณ์ไม่เอื้อแต่ก็หวัง

ขณะที่ผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยวจำนวนมากไม่เชื่อว่าทันทีที่รัฐบาลเดินหน้าเปิดรับต่างชาติโดยไม่กักตัวตามโมเดล “ภูเก็ต แซนด์บอกซ์” 1 กรกฎาคมนี้จะทำให้มีนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาทันทีและเป็นไปตามเป้าหมายที่รัฐบาลตั้งไว้ เพราะยังมีอีกหลายปัจจัยที่ในพื้นที่ต้องบริหารจัดการด้านความเชื่อมั่น โดยเฉพาะประเด็นการฉีดวัคซีนให้ประชาชนในพื้นที่ได้ครบ 70%

แต่ก็หวังว่าจะเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีในการส่งสัญญาณให้ทั่วโลกรู้ว่า ประเทศไทยมีความพร้อมในการเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติแล้ว

ผู้ประกอบการส่วนหนึ่งประเมินว่าการแพร่ระบาดของไวรัสโควิดระลอก 3 นี้กระทบ “ภูเก็ต แซนด์บอกซ์” แน่นอน เพราะจากการแพร่ระบาดภายในประเทศที่กระจายตัวไปรวดเร็วและรุนแรงในขณะนี้ทำให้รัฐบาลจำเป็นต้องทำการกระจายวัคซีนที่มีอยู่ไปในทุกพื้นที่อย่างทั่วถึง โควตาของ 6 จังหวัดนำร่องจึงไม่เป็นไปตามแผนแน่นอน

ที่สำคัญ ไม่เชื่อว่ารัฐบาลจะจัดหาวัคซีนเข้ามาฉีดให้กับคนไทยอย่างรวดเร็วในสัดส่วนไม่ต่ำกว่า 70% ได้ทันภายในสิ้นปีนี้ ตามที่นายกฯประยุทธ์ จันทร์โอชาได้แถลงไปก่อนหน้านี้

ย้ำเปิดประเทศคือทางรอด

“มาริสา สุโกศล หนุนภักดี” นายกสมาคมโรงแรมไทย (THA) บอกกับ “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า ขณะนี้ธุรกิจโรงแรมเสียหายหนักมาก กลุ่มที่เคยกลับมาเปิดให้บริการก็ทยอยกลับไปปิดชั่วคราวกันอีกครั้ง ดังนั้น ทางเดียวที่พอจะมองเห็นแสงสว่างและอยากร้องขอต่อภาครัฐ คือ เดินหน้าเปิดประเทศตามโมเดล “ภูเก็ต แซนด์บอกซ์” ต่อ อย่าเลื่อน

และต้องจัดสรรโควตาวัคซีนให้ภูเก็ตให้ได้ครบ 70% ตามที่วางแผนไว้ แล้วเอานักท่องเที่ยวเข้ามาให้ได้ ไม่เช่นนั้นเศรษฐกิจจะซบเซา และจะยิ่งเสียหายหนักมากไปกว่านี้แน่นอน

พร้อมระบุว่า ที่ผ่านมารัฐอาจให้ความสำคัญกับการดูแลด้านสาธารณสุขเป็นหลัก ครั้งนี้จึงอยากให้รัฐหันมาดูแลเรื่องเศรษฐกิจควบคู่ไปด้วย โดยเฉพาะรูปแบบการจัดสรรวัคซีน ซึ่งถือเป็นความหวังเดียวของภาคธุรกิจในขณะนี้

สอดรับกับความเห็นของแหล่งข่าวในภาคอุตสาหกรรมท่องเที่ยวอีกรายหนึ่งที่ให้ข้อมูลว่า การทุ่มส่งเสริมให้คนไทยเดินทางท่องเที่ยวในประเทศนั้นเป็นเพียงส่วนหนึ่งที่ช่วยให้ผู้ประกอบการด้านท่องเที่ยวมีรายได้เข้ามาหล่อเลี้ยงธุรกิจบ้างเท่านั้น ไม่เพียงพอที่จะต่อลมหายใจให้ธุรกิจเดินหน้าต่อไปได้ในระยะยาว

ทั้งนี้ เนื่องจากตลาดหลักที่ผ่านมาเป็นนักท่องเที่ยวต่างชาติในสัดส่วนเฉลี่ยถึงราว 70% โดยเฉพาะเมืองท่องเที่ยวหลักที่พึ่งพารายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติถึง 80-90%

เดินหน้ารับ นทท.ตามไทม์ไลน์

ด้าน “พิพัฒน์ รัชกิจประการ” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวฯ ให้สัมภาษณ์ยืนยันว่า แม้ว่าปัจจุบันนี้การแพร่ระบาดของไวรัสโควิดจะยังหนัก แต่ภาครัฐยังคงนโยบายเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติไว้ตามไทม์ไลน์เดิมโดยเฟสแรกได้ดำเนินการในช่วงวันที่ 1 เมษายน-30 มิถุนายน ที่เปิดโดยลดจำนวนวันกักตัว ให้นักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้ามาใน 6 จังหวัดนำร่อง คือ ภูเก็ต, กระบี่, พังงา, สุราษฎร์ธานี, พัทยา (ชลบุรี) และเชียงใหม่

ระยะนี้นักท่องเที่ยวเข้ามากักตัวในรูปแบบของแอเรียควอรันทีน (area quarantine) อาทิ โฮเทลควอรันทีน, วิลล่าควอรันทีน, กอล์ฟควอรันทีน, เวลเนสควอรันทีน ฯลฯ โดยนักท่องเที่ยวที่ฉีดวัคซีนแล้ว 2 ครั้ง ให้อยู่ในบริเวณโรงแรม 7 วัน ส่วนคนที่ยังไม่ได้ฉีดวัคซีนให้อยู่ในโรงแรม 10 วัน ซึ่งพบว่าที่ผ่านมามีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้ามาเป็นระยะ เพียงแต่ยังมีจำนวนไม่มากนัก

ส่วนเฟส 2 เป็นช่วง 1 กรกฎาคม-30 กันยายนนี้ ที่จะมีการเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ฉีดวัคซีนแล้ว 2 ครั้ง โดยไม่กักตัวในรูปแบบ “ภูเก็ต แซนด์บอกซ์” โดยจะนำร่องที่ภูเก็ตเป็นจังหวัดแรก และจะระดมฉีดวัคซีนให้กับประชาชนในพื้นที่ให้ได้ถึง 70% ของจำนวนประชากรทั้งหมด ซึ่งปัจจุบันรัฐบาลโดยกระทรวงสาธารณสุขให้วัคซีนไปแล้ว 2 แสนโดส และกำลังอยู่ระหว่างการจัดหาวัคซีนเข้ามาเติมให้ครอบคลุมประชาชน 70% ตามเป้าหมาย

จากนั้นเฟส 3 ช่วง 1 ตุลาคม-31 ธันวาคมนี้ จะเปิดให้พื้นที่นำร่องทั้ง 6 จังหวัดเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติโดยไม่กักตัวสำหรับนักท่องเที่ยวที่ได้รับการฉีดแล้ว 2 ครั้ง ทั้งนี้ อยู่ภายใต้เงื่อนไขว่าประชากรในพื้นที่นำร่องทั้ง 6 จังหวัดต้องได้รับวัคซีน 70% แล้วเช่นกัน

และในเฟส 4 ซึ่งเป็นเฟสสุดท้ายของการเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ คือ ตั้งแต่ 1 มกราคม 2565 เป็นต้นไป นักท่องเที่ยวที่ฉีดวัคซีนครบ 2 ครั้งแล้วสามารถเดินทางเข้ามาประเทศไทยโดยไม่กักตัวได้ในทุกจังหวัด

ลดเป้ารายได้เหลือ 8.5 แสน ล.

รัฐมนตรี “พิพัฒน์” ยังบอกด้วยว่า จากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิดอย่างหนักในระลอก 3 นี้ ทำให้รัฐบาลต้องเตรียมแผนเดินหน้ากระตุ้นการเดินทางท่องเที่ยว ทั้งตลาดในประเทศและต่างประเทศอีกครั้งในช่วงไตรมาส 3 พร้อมทั้งได้ประเมินสถานการณ์และประเมินตัวเลขคาดการณ์ของจำนวนนักท่องเที่ยวและรายได้จากการท่องเที่ยวใหม่

โดยปรับจากเป้าหมายเดิมที่คาดว่าประเทศไทยจะมีรายได้รวมที่ 1.2 ล้านล้านบาท จากจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติประมาณ 6.5 ล้านคน สร้างรายได้ราว 3.5 แสนล้านบาท และตลาดในประเทศจะมีการเดินทางที่ 160 ล้านคน-ครั้ง สร้างรายได้ราว 8.5 แสนล้านบาท เหลือเป้าหมายรายได้รวมที่ 8.5 แสนล้านบาท

และปรับเป้าจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเหลือ 4 ล้านคน สร้างรายได้ 3 แสนล้านบาท และตลาดไทยเที่ยวไทยเหลือ 100-120 ล้านคน-ครั้ง สร้างรายได้ 5.5 แสนล้านบาท

พร้อมย้ำว่า เป้ารายได้รวมที่ 8.5 แสนล้านบาทนี้ เป็นเป้าที่ตั้งกันเอาไว้ หากสถานการณ์การแพร่ระบาดปรับตัวดีขึ้นได้เร็วกว่าคาดการณ์อาจมีการขยับเป้ากันใหม่อีกครั้ง

คงต้องเอาใจช่วยกันว่าการปักธง “ภูเก็ต แซนด์บอกซ์” รับนักท่องเที่ยว 1 กรกฎาคมนี้จะได้รับการตอบรับอย่างไร มีนักท่องเที่ยวกล้าเดินทางหรือยัง แต่อย่างน้อยในเบื้องต้นนี้จะเป็นการส่งสัญญาณว่าประเทศไทยพร้อม และทำให้นักท่องเที่ยวทั่วโลกใช้เป็นข้อมูลวางแผนการเดินทางมาท่องเที่ยวในประเทศไทยช่วงไฮซีซั่นปลายปี หรือในอนาคตได้…