ยุทธชัย จรณะจิตต์ อิตัลไทย ปรับตัวสู้ ธุรกิจโรงแรมไม่มีวันตาย

ยุทธชัย อิตัลไทย ร่วมสัมนาประชาชาติ

“อิตัลไทย” เจ้าของแบรนด์โรงแรมอมารี-โอโซ  ฝ่าวิกฤตโควิด รุกเขย่าโครงสร้างองค์กร-จ้างงานกลุ่มธุรกิจโรงแรม “ยุทธชัย จรณะจิตต์” โดดนั่งซีอีโอคุมบริหารแก้วิกฤต ปรับโครงสร้างดันคนไทยนั่ง GM โรงแรมในประเทศ ปลุกรายได้ตลาดโดเมสติก ชี้ช่วงเวลานี้เจ้าของกิจการต้องทำใจแบก “ขาดทุน-หนี้เพิ่ม” เพื่อต่อลมหายใจให้ธุรกิจ ตอกย้ำธุรกิจโรงแรมไม่มีวันตาย แต่ต้องปรับตัวอย่างหนัก 

วันที่ 27 พฤษภาคม 2564 หนังสือพิมพ์ “ประชาชาติธุรกิจ” ในเครือมติชน หนังสือพิมพ์เศรษฐกิจฉบับแรกของประเทศไทย จัดสัมมนาใหญ่ประจำปีในโอกาสก้าวสู่ปีที่ 45 ในหัวข้อ “Thailand Survivor ต้องรอด” โดยได้รับเกียรติจากวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิจากภาครัฐและเอกชน ร่วมสัมมนาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและข้อเสนอแนะในการปรับตัวพลิกสถานการณ์ฝ่ามรสุมเศรษฐกิจ และวิกฤตโควิด-19 ที่ส่งผลกระทบรุนแรงทั้งกับเศรษฐกิจในภาพรวม ธุรกิจเอกชน และภาคประชาชน

เป็นการสัมมนาออนไลน์ที่หน่วยงานภาครัฐ กับนักธุรกิจชั้นนำร่วมให้ข้อมูล ถ่ายทอดเส้นทางการปรับตัว ต่อสู้เพื่อความอยู่รอดในยุคโควิด-19 ผ่านทาง facebook live prachachat และสื่อออนไลน์ในเครือมติชน

ประกอบด้วย นายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) นายยุทธชัย จรณะจิตต์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่ม บริษัท อิตัลไทย นางสาวชาตยา สุพรรณพงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ฟู้ดแพชชั่น จำกัด นายอดิศักดิ์ สุขุมวิทยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจ มาร์ท จำกัด (มหาชน)

นายสุรศักดิ์ สุทองวัน รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด นายแสนผิน สุขี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เฟรเซอร์ พร็อพเพอร์ตี้ โฮม (ประเทศไทย) และนายฐากร ปิยะพันธ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เครือไทย โฮลดิ้งส์

นายยุทธชัย จรณะจิตต์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัท อิตัลไทย จำกัด และผู้บริหารกลุ่มบริษัท ออนิกซ์ ฮอสพิทาลิตี้ กรุ๊ป จำกัด  ซึ่งมีโรงแรมแบรนด์อมารี, โอโซ, ซามา, ซามา ฮับ รวมทั้งเป็นผู้ถือหุ้นโรงแรมแมนดาริน โอเรียนเต็ล กรุงเทพฯ  กล่าวบนเวที “Thailand Survivor … ต้องรอด” จัดโดยประชาชาติธุรกิจ  ว่า การแพร่ระบาดของไวรัสโควิดส่งผลกระทบโดยตรงต่อธุรกิจของกลุ่มอิตัลไทย  โดยเฉพาะในกลุ่มธุรกิจฮอสพิทาลิตี้ หรือธุรกิจโรงแรมและบริการ  ซึ่งบริษัทมีพร็อพเพอร์ตี้รวมกว่า  50 แห่งใน 10 ประเทศทั่วภูมิภาคเอเชีย ที่ได้รับผลกระทบอย่างหนักลากยาวมานานกว่า 1 ปีแล้ว

ผลกระทบดังกล่าวทำให้บริษัทต้องปรับโครงสร้างองค์กรทั้งในด้านการบริหารและการจ้างงานใหม่ หลังจากที่ตนได้เข้ามานั่งบริหารงานในตำแหน่ง “ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร” หรือซีอีโอ กลุ่มออนิกซ์ ฮอสพิทาลาลิตี้  ตั้งแต่เดือนมีนาคมที่ผ่านมา โดยจะมีการปรับโครงสร้างผู้บริหารระดับสูง ด้วยการสนับสนุนให้คนไทยขึ้นมาบริหารงานในตำแหน่งผู้จัดการทั่วไป (GM) โรงแรมในประเทศ  เพื่อให้สอดรับกับสถานการณ์ที่ธุรกิจต้องพึ่งพาตลาดภายในประเทศ (domestic) เป็นหลักในช่วง 2-3 ปีนับจากนี้

“ผมมองว่าการที่เจ้าของมานั่งดูธุรกิจเอง ไม่ใช่เรื่องที่จะทำให้องค์กรมีการเปลี่ยนแปลงที่เร็วขึ้นเท่านั้น แต่ยังมีเรื่องของคอมมิตเมนต์ที่ให้กับพนักงาน ให้กับพาร์ตเนอร์ รวมถึงซัพพลายเชนต่าง ๆ หรือแม้แต่คู่แข่งของเราก็จะเห็นว่าออนิกซ์มีการปรับตัวค่อนข้างเร็ว โดยที่เราจะไม่ปิดโรงแรมเพื่อลดค่าใช้จ่าย ตั้งแต่ปลายปีที่ผ่านมาสถานการณ์จะดีหรือเลวยังไง เราก็ไม่ได้ปิดโรงแรมเลย ” นายยุทธชัยกล่าวและว่า

โรงแรมก็เหมือนบ้าน  จำเป็นต้องมีคนอยู่ดูแล และการดูแลแอสเซตเป็นเรื่องสำคัญมาก เพราะโรงแรม 1 แห่ง ลงทุนไม่ต่ำกว่า 500-1,000 ล้านบาท  ซึ่งต้องคอมมิตเมนต์กับทางสถาบันการเงินที่ปล่อยกู้ ที่สำคัญพนักงานต้องมีงานทำ มีรายได้พอสมควร การที่ตนเข้ามานั่งบริหารงานเองนั้นก็ต้องสร้างความเชื่อในการทำงานร่วมกันเป็นทีม ทุกคนต้องไปด้วยกัน

นอกจากนี้การปิดโรงแรมถือเป็นการ “คิดสั้น” เพราะต้นทุนการรีโอเพนนิ่งที่สูงกว่าการเปิดให้บริการ   ซึ่งจะมีค่าใช้จ่ายตั้งแต่การจ่ายชดเชยให้พนักงานออก พอจะเปิดใหม่ก็ต้องซ่อมแซมซึ่งการปิดโรงแรมค่าใช้จ่ายการซ่อมสูงมาก  แถมการจ้างพนักงานใหม่ก็ต้องรีเทรนอีก เจอค่าใช้จ่าย 2 เด้ง

ส่วนการปรับระบบการจ้างงานใหม่นั้น  นายยุทธชัยกล่าวว่า ธุรกิจโรงแรมจะต้องมีการปรับฐานโครงสร้างต้นทุนค่าใช้จ่าย  เรื่องมาตรฐานอัตราเงินเดือนพนักงาน  เนื่องจากที่ผ่านมาธุรกิจโรงแรมเป็นกลุ่มที่เติบโตสูงมาก ส่วนใหญ่จ้างชาวต่างชาติมาบริหาร พร้อมสิทธิประโยชน์เต็มที่ทุกอย่าง แต่สถานการณ์ในวันนี้เปลี่ยนไป รายได้หลักของธุรกิจโรงแรมขณะนี้ต้องพึ่งพาตลาดภายในประเทศ ซึ่งมีสัดส่วนเพียงแค่ประมาณ 20% เท่านั้น และไม่เพียงพอสำหรับการดำเนินธุรกิจ

นายยุทธชัยยังกล่าวถึงตลาดต่างประเทศด้วยว่า จากนโยบายการเปิดภูเก็ตรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ ในวันที่ 1 กรกฎาคมนี้ ตามโมเดล “ภูเก็ตแซนด์บอกซ์” เชื่อว่าน่าจะทำให้ผู้ประกอบมีความหวังได้บ้าง แต่ส่วนตัวยังเป็นห่วงเรื่องของจำนวนเที่ยวบินและวอลุ่มของนักท่องเที่ยวที่จะเข้ามา

เนื่องจากและไฮซีซั่นของภูเก็ตจะอยู่ในช่วงตุลาคมเป็นต้นไป  และที่ผ่านมาตลาดหลักของภูเก็ตเป็นนักท่องเที่ยวจากยุโรป รัสเซีย สแกนดิเนเวีย ฯลฯ ประกอบกับในเดือนกรกฎาคมนั้นส่วนใหญ่เป็นนักท่องเที่ยวจากมิดเดิลอีสต์และอินเดีย ซึ่งเป็นตลาดที่ยังได้รับผลกระทบจาการระบาดของไวรัสโควิดที่รุนแรง

นอกจากนี้ ประเด็นที่น่าเป็นห่วงอีกเรื่องคือ ภูเก็ตพร้อมที่จะเปิดรับต่างชาติแล้วจริงหรือ เนื่องจากตัวแปรน่าจะอยู่ที่การฉีดวัคซีนว่าทำได้มากแค่ไหน และจะตรวจสอบได้อย่างไรว่านักท่องเที่ยวที่เข้ามานั้นได้รับการฉีดวัคซีนครบแล้ว  ที่สำคัญประเทศไทยต้องการันตีว่าประเทศไทยเป็น 1 ในประเทศที่ save to travel หรือปลอดภัยสำหรับการท่องเที่ยวหรือยัง และหากเปิดประเทศแล้วเกิดการระบาดกลับมาอีกรอบประเทศพร้อมรับกับสถานการณ์นี้อีกครั้งหรือไม่

“ผมว่าตอนนี้เราต้องคิดไปไกล ๆ ว่าวัคซีนไม่ใช่จุดที่จะแก้ปัญหาทุกอย่าง  เป็นแค่จุดเริ่มต้นที่จะช่วยให้เราไม่ป่วย ไม่ตาย แต่อาจไม่ได้ช่วยเราหารายได้มากขึ้น เพราะรายได้ที่เกิดขึ้นตอนนี้มาจากตลาดโดเมสติก ยังไม่พอเลี้ยงพนักงาน ทำให้ตอนนี้เจ้าของกิจการยังต้องซับซิไดซ์คือแบกขาดทุน   ขณะที่ผู้ลงทุนต้องเข้าใจว่าต้องซัพพอร์ต  ซึ่งแน่นอนว่าผู้ลงทุนจะมีภาระหนี้ที่สูงขึ้นด้วย  จุดนี้อยากให้รัฐบาลหรือแบงก์ชาติต้องคุยกันแล้วว่าจะช่วยผู้ประกอบการอย่างไร” นายยุทธชัยกล่าว

อย่างไรก็ตาม มองว่าธุรกิจโรงแรมยังเติบโตและมีความหวัง แม้อาจจะไม่สดใสนักในวันนี้ แต่เชื่อว่าในปีหน้าและปีต่อ ๆ จะดีขึ้น เพียงแค่ทุกส่วนต้องร่วมมือและช่วยกันประคับประคองให้สถานการณ์ที่เป็นอยู่ในขณะนี้สามารถหมุนต่อไปได้ ทั้งนี้ เนื่องจากประเทศไทยเป็นเบอร์ 1 ในด้าน Tourist Destination of the world ซึ่งภาพลักษณ์นี้ทุกคนต้องมีความเชื่อและปกป้องรักษาภาพลักษณ์ที่ดีของประเทศไทยด้วย

“ผมยังเชื่อว่าธุรกิจโรงแรมไม่มีวันตาย แต่เราต้องเน้นคุณภาพ ไม่มุ่งปริมาณ ต้องสร้างความแตกต่าง ซึ่งกลุ่มออนิกซ์ก็ได้พยายามที่จะบอกว่าเราเป็นแบรนด์และบริษัทคนไทยที่มีความคิดเป็นอินเตอร์เนชั่นแนล สามารถแข่งขันกับแบรนด์อินเตอร์ได้ แต่ละแบรนด์มีโพซิชันนิ่ง ราคา และเซ็กเมนต์ที่ชัดเจน การที่เราลงทุนไปหลายพันล้านในช่วงที่ผ่านมานั้นก็เพราะว่าเราเชื่อว่าประเทศไทยจะกลับมาไม่ช้าก็เร็ว” นายยุทธชัยกล่าว