ยุคน้ำมันแพง! ลงทุนหุ้นพลังงาน ยังไงดี?

หุ้นพลังงาน

ยุคน้ำมันแพง! ลงทุนหุ้นพลังงาน ยังไงดี?

วันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2565 นายจักรพงศ์ เชวงศรี ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวกับ “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า ตอนนี้ต้องยอมรับว่าราคาน้ำมันที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นมา ส่งผลทำให้ในส่วนของผลการดำเนินงานในไตรมาส 4/2564 ต่อเนื่องมาถึงไตรมาส 1/2565 กลุ่มหุ้นพลังงานที่เป็นต้นน้ำและกลางน้ำ ได้ประโยชน์จากราคาน้ำมันที่ปรับตัวขึ้นมา ประกอบกับค่าการกลั่นก็ดีขึ้นมาค่อนข้างมากในช่วงไตรมาส 4/2564 ต่อเนื่องไตรมาส 1/2565

ดังนั้น 2 กลุ่มนี้คือ พลังงานต้นน้ำ กับ พลังงานกลางน้ำ จะได้ประโยชน์จากทิศทางราคาน้ำมันที่ปรับตัวขึ้น และผลการดำเนินงานน่าจะยังคงแข็งแกร่งต่อเนื่อง

แต่อย่างไรก็ตาม ในทางกลับกันหุ้นพลังงานปลายน้ำ ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจปิโตรเคมีหรือ Retail Oil จะถูกกดดันจากสภาวะตลาดที่ราคาน้ำมันปรับขึ้น ส่งผลทำให้ต้นทุนมีการปรับขึ้นและกดดันอัตรากำไร แต่ยังคงต้องรอดูการประเมินอีกรอบหนึ่งว่าไตรมาส 4/2564 ที่จะเห็นงบการเงินออกมานั้น Bottom หรือยัง ซึ่งในระยะถัดไปต้องมาดูเรื่องนี้กันอีกที

ถ้าดูเฉพาะสั้นๆ ในเดือน ก.พ.65 ทิศทางราคาน้ำมันน่าจะยังเป็นบวกอยู่ เป็นผลมาจากสภาพอากาศที่หนาวเย็นในซีกโลกตอนเหนือ ไม่ว่าทางฝั่งอเมริกา ยุโรป และรวมถึงเอเชียทางตอนเหนือ ตรงนี้ก็ยังสนับสนุนในเรื่องของความต้องการใช้น้ำมันให้ยังคงอยู่ในระดับสูง ตัวสต็อกน้ำมันคงคลังยังมีแนวโน้มลดลง

นายจักรพงศ์ กล่าวอีกว่า ฉะนั้นด้วยภาพราคาน้ำมันสูงอยู่ หุ้นที่น่าสนใจคือหุ้นพลังงานต้นน้ำ รวมถึงโรงกลั่น ที่ค่าการกลั่นในปัจจุบันปรับเพิ่มขึ้นมาจากกว่า 5 เหรียญต่อบาร์เรลในไตรมาส 4/2564 ตอนนี้ขึ้นมาอยู่ประมาณกว่า 7 เหรียญต่อบาร์เรล จึงหนุนหุ้นพลังงานต้นน้ำและโรงกลั่นยังดูน่าใจต่อเนื่อง

“เพียงแต่ถ้ามาดู up-side to target price หุ้นพลังงานต้นน้ำ อาจจะค่อนข้างมีน้อยแล้ว เพราะปัจจุบันราคาหุ้นขึ้นมาถึงราคาเป้าหมาย(target price) ของเราแล้ว แต่อย่างไรก็ตาม target price ของเรา ยังอิงบนสมมติฐานราคาน้ำมันดิบดูไบอยู่ที่ 69 เหรียญต่อบาร์เรล ซึ่งในปัจจุบันเกือบๆ  90 เหรียญต่อบาร์เรล เพราะฉะนั้นมี up-side to target price” นายจักรพงศ์ กล่าว

โดยทุกๆ 1 เหรียญ ของราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้นจะสร้างอัพไซด์ให้กับ target price ประมาณ 1 บาทต่อ target price เราคงไม่คิดว่าราคาน้ำมันจะยืนอยู่แถวๆ 90 เหรียญต่อบาร์เรล มันคงลดลงมาบ้าง แต่ค่าเฉลี่ยควรอยู่สูงกว่า 70 เหรียญต่อบาร์เรล ถ้าเราดูในแง่ของสถานการณ์ในปัจจุบัน

โดยในส่วนหุ้นโรงกลั่น หุ้นทุกตัวยังเปิด up-side to target price อยู่ ไม่ว่าจะเป็น บมจ.ไทยออยล์ (TOP) ซึ่งปัจจุบัน target price อยู่ที่ 60.80 บาท หุ้น บมจ.บางจาก คอร์ปอเรชั่น(BCP) อยู่ที่ 31.25 บาท และ บมจ.สตาร์ ปิโตรเลียม รีไฟน์นิ่ง(SPRC) อยู่ที่ 11.5 บาท ดังนั้นหุ้นเหล่านี้ สามารถเล่นในระยะสั้นได้ เพราะอัพไซด์ยังพอมีเหลืออยู่

การที่ราคาน้ำมันปรับตัวเพิ่มขึ้นมาตรงนี้ 90 เหรียญต่อบาร์เรล เป็นผลมาจากการที่ตลาดค่อนข้างมีความกังวลต่อกำลังการผลิตที่เหลือของโลก พอโอเปกพลัสเพิ่มกำลังการผลิตไปจนหมดแล้ว กำลังการผลิตคงเหลือจะเหลืออยู่ประมาณสัก 2 ล้านบาร์เรลต่อวัน นอกจากนี้ Inventory น้ำมันดิบสำเร็จรูปของโลกลงมาอยู่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 5 ปีย้อนหลังเรียบร้อย

รวมถึงในแง่ความกลัวเงินเฟ้อที่เกิดขึ้นทั่วโลก ส่งผลทำให้พวก financial investor ซื้อ Position น้ำมัน เพื่อ edge again inflation ที่จะมีโอกาสปรับตัวเพิ่มขึ้นได้

“ด้วยภาพตรงนี้ทั้งหมด ตลาดเลยเข้าสู่ภาวะกระทิง(Bullish) ก็เลยดันราคาน้ำมันปรับเพิ่มขึ้นมา รวมถึง geopolitical tensions คือความตึงเครียดตะวันออกกลาง(Middle East) ไม่ว่าจะเป็นการยิงมิสไซล์เข้าไปใน UAE หรือความตึงเครียดระหว่างชายแดนของยูเครนและรัสเซีย ล้วนทำให้น้ำมันปรับตัวเพิ่มขึ้นมาหมด”

ตอนนี้สิ่งที่ต้องจับตาดูนอกเหนือจาก geopolitical ตัวนี้แล้ว ก็คือการประชุมระหว่างสหรัฐอเมริกากับอิหร่านเรื่องดีลนิวเคลียร์ เพราะถ้ามีการตกลงกันได้ และมีการยกเลิกการคว่ำบาตร(Sanction) อิหร่าน น้ำมันของอิหร่านพร้อมจะกลับเข้ามาในตลาดสูงสุดภายใน 6 เดือน ประมาณ 1 ล้านบาร์เรลต่อวัน แล้วภายใน 12 เดือน อาจจะขึ้นไปสูงถึง 1.6 ล้านบาร์เรลต่อวัน

ซึ่งตรงนี้จะส่งผลทำให้กำลังการผลิตคงเหลือของกลุ่มโอเปกที่ทุกคนกลัวว่าจะเหลือ 2 ล้านบาร์เรลต่อวัน อาจจะกลายเป็น 3-4 ล้านบาร์เรลต่อวันได้ ดังนั้นจะเป็นจุดหักเหของทิศทางราคาน้ำมัน ซึ่งเราคาดว่าน่าจะได้ทราบผลในช่วง 1-2 เดือนข้างหน้านี้

“โดยเราเชื่อว่าด้วยสต็อกน้ำมันของโลกยังคงมีแนวโน้มลดลงในช่วงเดือน ก.พ.65 แล้วก็จะยัง Sustained low อยู่ในช่วงเดือน มี.ค.65 โดยราคาน้ำมันมีโอกาสที่จะปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง อาจจะขึ้นไปอยู่ประมาณสัก 100 เหรียญต่อบาร์เรล หรือมากกว่านั้นได้เล็กน้อย แต่พอหลังจากเดือน มี.ค.65 เป็นต้นไป เราเห็นแนวโน้มที่เอเยนซี่ใหญ่ๆ ของโลก มีการประมาณการว่าสต็อกน้ำมันดิบของโลกจะเริ่มเปลี่ยนเป็นขาขึ้น”

พูดง่ายๆ คือ ตลาดเริ่มจะ Surplus จากกำลังการผลิตของโอเปกพลัสที่เพิ่มขึ้น เพราะฉะนั้นราคาน้ำมันดิบมีแนวโน้มที่จะอ่อนตัวลงมาในช่วงที่เหลือของปี เราประเมินกรอบราคาน้ำมันไว้ตอนนี้อาจจะขึ้นไปวิ่งอยู่สักประมาณ 90-100 เหรียญต่อบาร์เรล ในเดือน ก.พ.-มี.ค.65 และหลังจากนั้นจะปรับตัวลดลงอยู่ในช่วงระหว่าง 70-80 เหรียญต่อบาร์เรล ทำให้ค่าฉลี่ยอาจจะอยู่ในกรอบประมาณ 70-80 เหรียญต่อบาร์เรลได้