สรุปประเด็น นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กับนายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ตัวแทนรัฐบาลไทยไปคุยเรื่องอะไรบ้างในการประชุม World Economic Forum หรือ ดาวอส 2023
การประชุม World Economic Forum (WEF) ประจำปี 2023 หรือ ดาวอส 2023 ที่เมืองดาวอส ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ระหว่างวันที่ 16-20 มกราคม 2566 ซึ่งจัดขึ้นในธีม “Cooperation in a Fragmented World” หรือ “ความร่วมมือในโลกที่แตกแยกออกเป็นเสี่ยง ๆ” รัฐบาลไทยส่งนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กับนายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เป็นตัวแทนเข้าร่วมประชุม
- บัตรเครดิตซิตี้ ย้ายไป UOB บัตรประเภทไหน เปลี่ยนแปลงอย่างไร
- คำแนะนำจาก ซีอีโอ “ฮั่วเซ่งเฮง” ยุคทอง (โคตร) แพง ต้องลงทุนอย่างไร ?
- Q1 “ITD” สะเทือน 4 แบงก์ใหญ่ ส่อตั้งสำรองเพิ่ม-กำไรหด
“ประชาชาติธุรกิจ” สรุปประเด็นตัวแทนรัฐบาลไทยไปคุยอะไรบ้างในเวทีระดับโลก
อนุทินหารือบทบาททางเศรษฐกิจของอาเซียน
นายอนุทิน ชาญวีรกูล เข้าร่วมประชุมหัวข้อ “The Pulling Power of ASEAN” ซึ่งหารือเกี่ยวกับบทบาทของอาเซียนท่ามกลางการแข่งขันทางภูมิเศรษฐศาสตร์ที่รุนแรง และบทบาทการมีส่วนช่วยสร้างเสถียรภาพและความมั่งคั่งของโลก ตลอดจนความร่วมมือในภูมิภาค
นายอนุทิน ชาญวีรกูล ได้กล่าวถึงศักยภาพของอาเซียนว่า “เราต้องทำให้ประเทศสมาชิกอาเซียนทั้งหมดเห็นตรงกันว่า เราจะไม่มีพลังถ้าไม่ร่วมมือกัน หากมองในเชิงภูมิศาสตร์ของประเทศที่รวมตัวกันเป็นอาเซียน เราเป็นเพียงภูมิภาคเดียวที่เชื่อมโลกตะวันตกกับตะวันออก ไม่มีใครสามารถทะลุมายังซีกโลกตะวันออกได้โดยไม่ผ่านภูมิภาคอาเซียน”
นอกจากนั้นนายอนุทินได้ยกนโยบาย “เปลี่ยนสนามรบเป็นสนามการค้า” ของพลเอกชาติชาย ชุณหะวัน ขึ้นมาพูดถึงบนเวทีว่าน่าจะนำนโยบายนี้มาปรับใช้อีกครั้ง อาเซียนจะแข็งแกร่งมากขึ้นถ้าเปลี่ยนการแข่งขันเป็นการร่วมมือกัน
อนุทินอวดระบบสาธารณสุขไทย
ส่วนการเข้าร่วมประชุมในหัวข้อ “Health Systems Transformation” ซึ่งหารือกันถึงความร่วมมือระดับโลกทั้งภาครัฐและเอกชนเกี่ยวกับระบบดูแลสุขภาพที่มีความยั่งยืน นายอนุทิน ชาญวีรกูล ได้แชร์ว่า ระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า ซึ่งได้มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องในช่วงที่ผ่านมา เป็นพื้นฐานที่สร้างความเข้มแข็งให้ระบบสาธารณสุขไทยในการรับมือโรคระบาดโควิด-19
นายอนุทินนำเสนอนโยบาย “3 หมอ” ของไทย ซึ่งหมายถึง คนไทยทุกครอบครัวมีหมอประจำตัว 3 คน หมอประจำบ้าน (อสม.) หมอสาธารณสุข (บุคลากรในสถานพยาบาลปฐมภูมิ) และหมอครอบครัว (หมอในโรงพยาบาล) และได้กล่าวชื่นชมการทำงานของ อสม. ที่เรียกว่าเป็น “หมอคนแรก”
นอกจากนั้น นายอนุทินได้กล่าวถึงการใช้ระบบบิ๊กดาต้าด้านสุขภาพ เพื่ออำนวยความสะดวกในการรักษาพยาบาล และยังได้กล่าวถึงสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ ซึ่งเป็นกลไกในการชี้นำและขับเคลื่อนวาระสำคัญด้านสุขภาพของประเทศ
อาคม รมว.คลัง หารือเรื่องการขยายตัวทางการคลัง
นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังของไทย เข้าร่วมเสวนาในฐานะผู้เสวนาหลัก
ในหัวข้อการขยายตัวทางการคลัง “Fiscal Expansion: A welcome Return or Ticking Bomb?” ซึ่งผู้เข้าร่วมการเสวนาได้แลกเปลี่ยนมุมมองในการสร้างสมดุลระหว่างการดำเนินนโยบายการเงินและนโยบายการคลัง
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังของไทยในการเสวนาว่า รัฐบาลไทยได้กู้ยืมเงินเพื่อแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 และเยียวยาผลกระทบที่เกิดขึ้น ซึ่งการรักษาเสถียรภาพในนโยบายการเงินทำให้นโยบายการคลังสามารถทำงานได้อย่างเต็มที่ หลังจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 คลี่คลายลง การดำเนินนโยบายการเงินและการคลังได้กลับมาสู่ภาวะปกติอีกครั้ง กล่าวคือ มีการปรับขึ้นดอกเบี้ยเพื่อควบคุมภาวะเงินเฟ้อ และมุ่งเน้นการชำระหนี้สาธารณะที่เพิ่มสูงขึ้นจากการกู้ยืมดังกล่าว ส่วนการใช้มาตรการด้านการคลังยังคงเป็นไปเพื่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจ และเน้นการรักษาดุลการคลังให้อยู่ในระดับต่ำกว่า 3% ของจีดีพี โดยการพัฒนาการจัดเก็บรายได้และปฏิรูปภาษีไปพร้อมกัน
นอกจากนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังได้เน้นย้ำถึงการทำงานร่วมกันระหว่างกระทรวงการคลังและธนาคารกลาง เช่น การกำหนดเป้าหมายอัตราเงินเฟ้อร่วมกัน โดยยังคงต้องรักษาเป้าหมายการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจไปด้วย โดยเฉพาะในช่วงที่เศรษฐกิจเพิ่งฟื้นตัวจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 เป็นต้น ทั้งนี้ ในการกำหนดนโยบายการคลัง ควรพิจารณารักษาวินัยทางการคลัง โดยเป็นไปตามกฎหมายด้านการเงินการคลังอย่างเคร่งครัด
รัฐมนตรีคลังหารือบทบาทการคลังกับสิ่งแวดล้อม
ส่วนในการเสวนาหัวข้อบทบาทของผู้นำอาเซียนในการเปลี่ยนผ่านพลังงานที่เป็นธรรม “ASEAN Leaders for Just Energy Transitions” เป็นการแลกเปลี่ยนความเห็นระหว่างผู้แทนภาครัฐและภาคเอกชนของอาเซียน เกี่ยวกับการเปลี่ยนผ่านสู่การใช้พลังงานที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยให้ความช่วยเหลือแก่ชุมชนหรือผู้ประกอบการที่ยังต้องพึ่งพาพลังงานแบบดั้งเดิมอยู่
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังได้กล่าวเน้นย้ำการให้ความสำคัญต่อปัญหาสิ่งแวดล้อมของไทย โดยไทยได้ตั้งเป้าหมายที่จะบรรลุความเป็นกลางทางคาร์บอนภายในปี 2593 (ค.ศ. 2050) และปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ภายใน พ.ศ. 2608 (ค.ศ. 2065) รวมถึงได้ปรับปรุงเป้าหมายการดำเนินงานในการลดก๊าซเรือนกระจกและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Nationally determined contributions: NDCs) อย่างต่อเนื่อง รวมถึงการผลักดันโมเดลเศรษฐกิจชีวภาพ หมุนเวียน และสีเขียว (Bio-Circular-Green (BCG) Economy Model)
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังได้กล่าวถึงบทบาทของกระทรวงการคลังในการเปลี่ยนผ่านดังกล่าว เช่น การระดมทุนเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Finance) ไม่ว่าจะเป็นพันธบัตรเพื่อความยั่งยืน (Sustainable Bond) หรือตราสารหนี้ข้ามพรมแดน และการออกมาตรการเพื่อสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานด้วย
………………