สงครามอิสราเอลเพิ่มความเสี่ยง ดึง “เศรษฐกิจโลก” ถอยหลังหนึ่งก้าว

ฮามาสยิงจรวดออกจากฉนวนกาซาไปอิสราเอล เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2023
ฮามาสยิงจรวดออกจากฉนวนกาซาไปอิสราเอล เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2023 (ภาพโดย Mohammed Sale/ REUTERS)

ในขณะที่ทั่วโลกกำลังพยายามเอาตัวรอดอย่างยากลำบากจากภาวะเงินเฟ้อที่มีปัจจัยหนุนหลักมาจากสงครามรัสเซีย-ยูเครน ซึ่งเกิดขึ้นซ้ำเติมความเสียหายของเศรษฐกิจในภาวะโรคระบาด ความขัดแย้งและสงครามในสมรภูมิที่สอง ที่สาม ก็เปิดฉากขึ้น เป็นการเพิ่มความเสี่ยงใหม่ ๆ ให้เศรษฐกิจโลกอีก

กองกำลังติดอาวุธ “ฮามาส” (Hamas) ชาวปาเลสไตน์ ยิงจรวดหลายพันลูกออกจากฉนวนกาซาเข้าสู่เมืองทางภาคใต้ของอิสราเอล ในเช้าวันที่ 7 ตุลาคม 2023 เพียงสองสามชั่วโมงหลังจากโดนโจมตี รัฐบาลอิสราเอลก็ประกาศ “ภาวะสงคราม” แล้วสั่งกองทัพเอาคืนอย่างหนัก

ขณะที่กำลังเจอศึกฮามาสทางภาคใต้กลุ่ม “เฮซบัลเลาะห์” (Hezbollah) จากประเทศเลบานอน ซึ่งมีความขัดแย้งกันมาก่อนหน้านี้ก็ถือโอกาสร่วมโจมตีอิสราเอลในพื้นที่ทางภาคเหนือของประเทศในเช้าวันที่ 8 ตุลาคม 

ความขัดแย้งและสงครามในตะวันออกกลางมีแนวโน้มจะสร้างความเสี่ยงใหม่ ๆ ต่อเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะปัญหาเงินเฟ้อที่อาจพุ่งกลับขึ้นอีก เป็นโจทย์ใหญ่ให้ธนาคารกลางทั่วโลกต้องแก้ด้วยการขึ้นดอกเบี้ยต่ออีก รวมถึงมีแนวโน้มว่าสงครามจะส่งผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทาน ทำให้ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคและความเชื่อมั่นของภาคธุรกิจกับนักลงทุนลดลง

ผลกระทบของสงครามต่อเศรษฐกิจโลกจะรุนแรงแค่ไหนขึ้นอยู่กับระยะเวลาการทำสงครามว่ายาวนานเพียงใด และขอบเขตของพื้นที่และผู้มีส่วนร่วมในการทำสงครามว่าจะขยายวงกว้างสู่ประเทศอื่นในภูมิภาคหรือไม่ 

ความกังวลหลัก ๆ เกี่ยวกับการขยายพื้นที่สงคราม จะเป็นเรื่องราคาน้ำมัน เนื่องจากภูมิภาคตะวันออกกลางเป็นแหล่งผลิตน้ำมันที่สำคัญของโลก และอีกเรื่องคือคอขวดการขนส่งสินค้า เนื่องจากตะวันออกกลางมีเส้นทางขนส่งสินค้าที่สำคัญของโลก คือ “คลองสุเอซ”  

ADVERTISMENT

ขณะนี้ที่เป็นระยะเริ่มต้นยังยากที่จะประเมินผลกระทบจากสงครามนี้ได้ในทันทีทันใด แต่สิ่งที่เห็นแล้วก็คือตลาดเงินตลาดทุน และราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่อ่อนไหว-เปลี่ยนแปลงเร็ว

ราคาน้ำมันในตลาดโลกพุ่งขึ้น 5% ในเช้าวันที่ 9 ตุลาคม ขณะที่ราคาสัญญาซื้อขายข้าวสาลีล่วงหน้าที่ตลาดชิคาโก (CBOT) เพิ่มขึ้น 1.3% ในเวลา 02.56 น. (GMT) ของวันที่ 9 ตุลาคม ส่วนราคาข้าวโพดเพิ่มขึ้น 0.6% และถั่วเหลืองเพิ่มขึ้น 0.7%

ADVERTISMENT

อากุสติน คาร์สเทนส์ (Agustin Carstens) ผู้จัดการทั่วไปของธนาคารเพื่อการชำระหนี้ระหว่างประเทศ (BIS) กล่าวว่า “ยังเร็วเกินไป” ที่จะพูดว่าผลกระทบทางเศรษฐกิจจากความขัดแย้งในตะวันออกกลางจะเป็นอย่างไร แม้ว่าตลาดน้ำมันและหุ้นอาจเห็นผลกระทบในทันที

ขณะที่ คาร์ล แทนเนนบาม (Carl Tannenbaum)  หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของสถาบันการเงิน นอร์เทิร์น ทรัสต์ (Northern Trust) ในสหรัฐอเมริกา กล่าวว่า อะไรก็ตามที่เป็นสาเหตุของความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ จะทำให้การตัดสินใจ (ทางธุรกิจและการลงทุน) ล่าช้า และเพิ่มความเสี่ยง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพิจารณาจากภูมิภาคที่เกิดเหตุสงคราม ทำให้มีความหวาดกลัวว่าราคาน้ำมันจะพุ่งสูงขึ้น

คาริม บาสตา (Karim Basta) หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของบริษัทที่ปรึกษาการลงทุน ทริปเปิลอาย แคปิทัล แมเนจเมนต์ (Ill Capital Management) ในฟลอริดา สหรัฐอเมริกา กล่าวว่า ความขัดแย้งนี้ก่อให้เกิดความเสี่ยงที่ราคาน้ำมันจะสูงขึ้น ความเสี่ยงต่ออัตราเงินเฟ้อ และความเสี่ยงต่อแนวโน้มการเติบโตของเศรษฐกิจโลก 

เช่นกันกับ กอนซาโล ลาร์ดีส์ (Gonzalo Lardies) ผู้จัดการกองทุนหุ้นอาวุโสของธนาคาร “แอนด์แบงก์” (Andbank) ในสเปน วิเคราะห์ว่า สงครามนี้จะเพิ่มความไม่แน่นอนให้กับตลาดมากขึ้น อัตราเงินเฟ้อและการเติบโตของเศรษฐกิจโลกจะถอยหลังไปหนึ่งก้าว กล่าวคือ อัตราเงินเฟ้อจะกลับไปสูงอีก ส่วนการเติบโตของเศรษฐกิจโลกจะชะลอลง และความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์จะกลายเป็นประเด็นหลักของเศรษฐกิจโลก 

“เราคาดว่าความผันผวนจะพุ่งสูงขึ้น โดยที่ตราสารหนี้ระยะสั้นจะเป็นหลุมหลบภัย (safe haven) อีกครั้ง ในขณะที่หุ้นวัฏจักรจะเป็นที่จับตามอง”

ส่วนภาคอุตสาหกรรมการบินและการท่องเที่ยวก็หลีกเลี่ยงผลกระทบไม่ได้ การเดินทางทั้งเพื่อการท่องเที่ยวและธุรกิจลดน้อยลงทันทีที่เกิดเหตุ ซึ่งข้อมูลจากทางการอิสราเอลบอกว่า เที่ยวบินพาณิชย์ที่บินเข้า-ออกอิสราเอลลดลงเหลือ 50% ของภาวะปกติ รวมถึงการโจมตีทางอากาศยังมีผลต่อเส้นทางการบินต่าง ๆ ที่ต้องบินผ่านภูมิภาคที่เกิดสงคราม 

ทั้งนี้ กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ซึ่งจัดประชุมประจำปีร่วมกับธนาคารโลก (World Bank) ในสัปดาห์นี้ มีกำหนดการพูดถึงแนวโน้มการเติบโตของเศรษฐกิจตะวันออกกลาง ในวันที่ 12 ตุลาคมนี้

IMF เกริ่นถึงภาวะเศรษฐกิจตะวันออกกลาง (ก่อนเกิดสงครามเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม) ไว้ว่า “การเติบโตทางเศรษฐกิจในตะวันออกกลางและแอฟริกาเหนือกำลังชะลอตัว” อยู่แล้ว ต้องติดตามว่า เมื่อเกิดสงครามซึ่งเป็นปัจจัยความเสี่ยงใหม่ล่าสุดแล้ว IMF จะมองแนวโน้มเศรษฐกิจตะวันออกกลางอย่างไร และประเมินว่าจะมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกมากน้อยแค่ไหน