จับตาสงครามขยายวง ไบเดนถูกบีบเปิดศึกอิหร่าน หลังฐานทัพสหรัฐในจอร์แดนโดนโจมตี

Tower 22 ฐานทัพสหรัฐในจอร์แดน
Tower 22 ฐานทัพสหรัฐในจอร์แดน/ แฟ้มภาพ 12 ตถลาคม 2023 (ภาพแจก จัดหาโดย REUTERS)

จับตาสงครามลุกลาม ! ไบเดนถูกบีบให้เปิดศึกอิหร่าน หลังฐานทัพสหรัฐในจอร์แดนโดนโจมตี รมว.กลาโหมชี้ไม่ได้ต้องการทำให้สงครามขยายวง แต่จะทำในสิ่งที่ต้องทำ

วันที่ 30 มกราคม 2024 มติชนรายงานว่า ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ของสหรัฐ เผชิญกับแรงกดดันทางการเมืองอย่างหนักจากสมาชิกรัฐสภาให้ตอบโต้อิหร่านที่ใช้โดรนโจมตี “ทาวเวอร์ 22” (Tower 22) ฐานทัพสหรัฐในจอร์แดน ซึ่งเป็นเหตุให้มีทหารสหรัฐเสียชีวิต 3 ราย และได้รับบาดเจ็บอีก 35 นาย ถือเป็นความท้าทายครั้งใหญ่สำหรับพรรคเดโมแครตในปีแห่งการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ

ทำเนียบขาวระบุเมื่อวันที่ 29 มกราคมว่า ไบเดนกำลังชั่งน้ำหนักทางเลือกของเขา ซึ่งเป็นผลสืบเนื่องจากเหตุการณ์ดังกล่าว ที่เป็นการเสียชีวิตของทหารสหรัฐครั้งแรก นับตั้งแต่สงครามอิสราเอล-ฮามาสเริ่มต้นขึ้นในวันที่ 7 ตุลาคม 2023 ขณะที่อิหร่านปฏิเสธว่าไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องใด ๆ กับเหตุการณ์ดังกล่าว

ไบเดนกล่าวก่อนหน้านี้ว่า “ไม่ต้องสงสัยเลย เราจะต้องลากตัวผู้ที่เกี่ยวข้องมารับผิด และจะทำในหนทางที่เราเลือกเอง” 

ขณะที่นายลอยด์ ออสติน รัฐมนตรีกลาโหมสหรัฐกล่าวว่า จะไม่ยอมทนต่อการโจมตีกองกำลังสหรัฐ และสหรัฐจะดำเนินการทั้งหมดที่จำเป็นเพื่อปกป้องสหรัฐและกองทัพของตน 

ด้านนายจอห์น เคอร์บี โฆษกสภาความมั่นคงแห่งชาติประจำทำเนียบขาว กล่าวว่า สหรัฐไม่ได้ต้องการขยายการทำสงครามกับอิหร่าน หรือทำให้สงครามในภูมิภาคขยายวงกว้างขึ้น “แต่เราจะทำในสิ่งที่ต้องทำ” 

เคอร์บียังปฏิเสธอย่างชัดเจนว่า การตัดสินใจใด ๆ ของไบเดนไม่ได้รับอิทธิพลจากการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐในปีนี้ โดยย้ำว่าไบเดนไม่ได้คิดคำนวณทางการเมืองใด ๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการเลือกตั้ง หรือปฏิทินการเลือกตั้ง ขณะที่เขากำลังทำงานเพื่อปกป้องทหารสหรัฐทั้งบนบกและในท้องทะเล การพูดถึงเรื่องนี้ไม่ว่าจะในแง่มุมใดถือเป็นเรื่องน่ารังเกียจ

แม้จะมีความพยายามที่จะปฏิเสธความเชื่อมโยงของการตัดสินใจตอบสนองในเหตุโจมตีที่เกิดขึ้นกับการเลือกตั้งที่กำลังจะมาถึง แต่สิ่งที่ปฏิเสธไม่ได้คือฝ่ายบริหารของไบเดนตกอยู่ภายใต้แรงกดดันต่อการตอบสนองต่อเหตุโจมตีดังกล่าว โดยไม่ก่อให้เกิดสงครามในวงกว้างขึ้น และยังต้องพยายามไม่ให้ส่งผลกระทบต่อความพยายามที่จะหาทางปล่อยตัวประกันมากกว่า 100 คนที่ยังคงถูกจับกุมตัวในฉนวนกาซาอีกด้วย

เชค มุฮัมมัด บิน อับดุรเราะฮ์มาน บิน ญาสซิม อาล ษานี นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของรัฐกาตาร์ กล่าวกับสถาบันวิจัยในวอชิงตันว่า เขาหวังว่าการตอบโต้กลับของสหรัฐจะไม่บั่นทอนความคืบหน้าของข้อตกลงปล่อยตัวประกันฉบับใหม่ที่ยังคงอยู่ระหว่างการหารือในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา

ผู้นำกาตาร์ย้ำว่า การตอบโต้กลับของสหรัฐจะส่งผลกระทบต่อความมั่นคงในภูมิภาคอย่างแน่นอน และหวังว่าสิ่งต่าง ๆ จะอยู่ในระดับที่ยังสามารถควบคุมได้

ทั้งนี้ ผู้นำกาตาร์ได้พบกับผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองกลางของสหรัฐ (CIA) หัวหน้ามอสซาด หน่วยข่าวกรองอิสราเอล และหัวหน้าหน่วยข่าวกรองอียิปต์ เมื่อวันที่ 28 มกราคม ที่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส และมีการหารือ ซึ่งอิสราเอล กาตาร์ และสหรัฐ ระบุว่าเป็นไปอย่างสร้างสรรค์ แม้จะยังคงเหลือช่องว่างสำคัญอยู่ก็ตาม

นายแอนโทนี บลิงเคน รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐ กล่าวว่า การเจรจาในกรุงปารีสเพิ่มความหวังว่า กระบวนการเจรจาที่กาตาร์เป็นคนกลางจะกลับมาดำเนินการต่อไปได้ โดยกรอบการทำงานสำหรับข้อตกลงฉบับที่ 2 ซึ่งพัฒนาขึ้นในกรุงปารีส เป็นข้อตกลงที่แข็งแกร่งและน่าสนใจ ซึ่งทำให้เกิดความหวังว่าเราจะสามารถกลับเข้าสู่กระบวนการนี้ได้ แต่ฮามาสจะต้องตัดสินใจด้วยตัวเอง

ทั้งนี้ กระบวนการเจรจาดังกล่าวนำไปสู่ข้อตกลงหยุดยิง 1 สัปดาห์ในเดือนพฤศจิกายน ที่กลุ่มฮามาสได้ปล่อยตัวประกันออกมาราว 100 คน แต่บลิงเคนปฏิเสธที่จะเปิดเผยรายละเอียดของข้อเสนอที่มีการหารือกัน

ฮามาสย้ำว่าอิสราเอลจะต้องยุติการโจมตีฉนวนกาซา และถอนกำลังออกไปก่อนที่จะมีการปล่อยตัวประกันเพิ่มเติม ขณะที่อิสราเอลก็ประกาศว่าจะสู้ต่อไปจนกว่าจะกำจัดฮามาสให้สิ้นซาก

เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา ฮามาสได้ยิงจรวดถล่มเมืองต่าง ๆ ของอิสราเอลเป็นครั้งแรกในรอบหลายสัปดาห์ ซึ่งพิสูจน์ให้เห็นว่าฮามาสยังมีศักยภาพในการยิงจรวดเพื่อโจมตีอิสราเอลได้ แม้ว่าสงครามจะยืดเยื้อมาเกือบ 4 เดือนแล้วก็ตาม