
ตัวชี้วัดเดือนกรกฎาคมชี้ว่าจีนมีการเติบโตของผลผลิตภาคอุตสาหกรรมชะลอตัวลง แต่การกระตุ้นภาคครัวเรือนได้ผล ยอดค้าปลีกโตสูงกว่าคาดการณ์ นักวิเคราะห์ชี้ต้องกระตุ้นเพิ่ม แม้จะมีแนวโน้มว่าจีนได้เข้าสู่ภาวะเงินฝืดยาวนานเช่นเดียวกับญี่ปุ่นในช่วงทศวรรษ 1990 แล้ว
วันที่ 15 สิงหาคม 2024 รอยเตอร์ (Reuters) รายงานว่า ในเดือนกรกฎาคม ผลผลิตภาคอุตสาหกรรมของจีนเติบโตช้าลง และต่ำกว่าที่คาดไว้ สวนทางกับการสนับสนุนจากภาครัฐที่เริ่มเห็นผล หลายตัวชี้วัดแสดงให้เห็นว่าจีนกำลังดิ้นรนในการก้าวเข้าสู่ระดับที่สูงขึ้น
ข้อมูลจากสำนักงานสถิติแห่งชาติจีน (National Bureau of Statistics) แสดงให้เห็นว่า ในเดือนกรกฎาคม ผลผลิตภาคอุตสาหกรรมโต 5.1% เมื่อเทียบจากปีก่อนหน้า (YOY) ชะลอตัวลงจากอัตราการเติบโต 5.3% (YOY) ในเดือนมิถุนายน และต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้ว่าจะโต 5.2% จากแบบสำรวจนักวิเคราะห์ซึ่งจัดทำโดยรอยเตอร์
ในทางกลับกัน ตัวชี้วัดกิจกรรมรายเดือนของสำนักงานสถิติแห่งชาติจีน แสดงยอดค้าปลีกซึ่งเป็นมาตรวัดการบริโภคในเดือนกรกฎาคมโต 2.7% โตเร็วขึ้นกว่าอัตราการเติบโต 2% ในเดือนมิถุนายน และมากกว่าที่คาดไว้ว่าจะโต 2.6% เป็นสัญญาณว่าความพยายามในการกระตุ้นการใช้จ่ายครัวเรือนเริ่มเห็นผลแล้ว
อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์เตือนว่าแนวโน้มโดยรวมยังคงมีความท้าทายอยู่สูง โดยเสนอว่าจำเป็นต้องมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม
สิง จ้าวเผิง (Xing Zhaopeng) นักเศรษฐศาสตร์ตลาดจีนจากธนาคารออสเตรเลียแอนด์นิวซีแลนด์ (ANZ) กล่าวว่า จากที่ข้อมูลแสดงออกมา เศรษฐกิจเริ่มต้นได้ไม่ดีนักในช่วงครึ่งหลังของปี และคาดว่าความเป็นไปได้มากขึ้นที่ธนาคารกลางจีน (PBOC) จะใช้มาตรการกระตุ้นโดยการลดอัตราส่วนเงินสำรอง (Reserve Requirement Ratio) ของธนาคารพาณิชย์ลง แทนการลดดอกเบี้ยสินเชื่อระยะกลาง (Medium-Term Lending Facility) กระนั้นก็ยังต้องรอการใช้จ่ายทางการคลัง เพื่อรักษาการเติบโตทางเศรษฐกิจให้อยู่ที่ 5%
วันนี้ (15 ส.ค.) ธนาคารกลางประชาชาชนจีนอัดฉีดเงินสดผ่านตราสารหนี้ระยะสั้น และระบุว่าจะดำเนินการขยายระยะเวลากู้เงินออกไปอีกหลังจากครบกำหนดชำระคืนเงินต้น (Rollover) ให้กับสินเชื่อระยะกลางในช่วงปลายเดือนนี้ เพื่อขยายการสนับสนุนสภาพคล่องให้กับระบบการเงิน
เมื่อเดือนที่แล้วผู้นำจีนได้ส่งสัญญาณว่าพวกเขาจะพิจารณาใช้แนวทางใหม่ ซึ่งมุ่งไปที่การกระตุ้นการเติบโตของฝั่งผู้บริโภค แทนที่จะนำเงินไปลงทุนมากขึ้นในโครงสร้างพื้นฐานและภาคการผลิต
เมื่อการฟื้นตัวหลังโรคระบาดโควิด-19 ไม่เกิดขึ้นจริง ทำให้มีเสียงเรียกร้องกดดันให้ภาครัฐออกมาตรการกระตุ้นการเติบโตเพิ่มเติมเสมอ
ขณะที่รัฐบาลยังคงตั้งเป้าการเติบโตของปีนี้ไว้ที่ประมาณ 5% แต่บรรดานักวิเคราะห์กลับมองว่าจีน ประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับสองของโลก คิดเป็นมูลค่า 19 ล้านล้านดอลลาร์ (ราว 666 ล้านล้านบาท) และเป็นประเทศผู้ผลิตขนาดใหญ่ของโลกมีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้นว่าได้เข้าสู่ภาวะเงินฝืดเช่นเดียวกับญี่ปุ่นในช่วงทศวรรษ 1990 แล้ว
ตลอดเจ็ดเดือนแรกของปี 2024 จีนมีการลงทุนในสินทรัพย์ถาวรขยายตัว 3.6% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันในปีที่ผ่านมา (YOY) ทว่ายังคงต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้ที่ 3.9% และชะลอตัวลงจาก 3.9% ในช่วงเดือนมกราคมถึงมิถุนายน
ธนาคารกลางของจีนกล่าวในการประชุมเมื่อต้นเดือนนี้ ว่าจะเพิ่มการสนับสนุนทางการเงินให้กับเศรษฐกิจโดยรวม และจะมุ่งความพยายามไปที่ผู้บริโภคมากขึ้นเพื่อกระตุ้นการบริโภค
แต่ด้วยอุปสงค์ในประเทศที่อ่อนแอและแนวโน้มที่ไม่ชัดเจน ครัวเรือนและธุรกิจจึงไม่รีบร้อนที่จะกู้ยืม