
ไทยเป็นจุดหมายปลายทางการลงทุนตั้งฐานการผลิตอันดับต้น ๆ ของธุรกิจญี่ปุ่นมาหลายทศวรรษ นับตั้งแต่การเกิดขึ้นมาของ “พลาซา แอคคอร์ด” (Plaza Accord) หรือ “ข้อตกลงพลาซา” ในปี 1985 ที่ส่งผลให้ธุรกิจญี่ปุ่นจำนวนมากย้ายฐานการผลิตออกนอกประเทศ มุ่งหน้ามายังเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยที่ไทยเป็นประเทศที่รับผลประโยชน์สูงสุด
เมื่อเวลาล่วงเลยมาหลายทศวรรษ บางปัจจัยที่เคยเป็นข้อได้เปรียบของไทยก็ลดน้อยลงไป บริษัทญี่ปุ่นเริ่มมองหาฐานการผลิตอื่นในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้นอกเหนือจากไทย ขณะที่ประเทศเพื่อนบ้านในภูมิภาคต่างก็พยายามที่จะคว้าโอกาสอย่างที่ไทยเคยได้รับ
ล่าสุด กัมพูชามีการเสนอแนวทางให้กัมพูชาเป็นทางเลือกตั้งฐานการผลิตของบริษัทญี่ปุ่นเสริมจากไทย หรือ “ไทยแลนด์พลัสวัน” (Thailand+1) คล้ายกับที่บริษัทญี่ปุ่นและอีกหลายประเทศใช้กลยุทธ์ “ไชน่าพลัสวัน” (China+1) มาหลายปีก่อนหน้านี้ ด้วยความหวังที่จะดึงการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) เข้าสู่กัมพูชามากขึ้น
ในความพยายามดังกล่าว มีการจัดงานสัมมนา “การลงทุนในกัมพูชา (Thailand+1)” เมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ที่โรงแรม เดอะ แลนด์มาร์ค กรุงเทพฯ (The Landmark Bangkok) โดยความร่วมมือขององค์การส่งเสริมการค้าต่างประเทศของญี่ปุ่น หรือ เจโทร (JETRO) สำนักงานกรุงเทพฯ เจโทร สำนักงานพนมเปญ สภาเพื่อการพัฒนาแห่งกัมพูชา (CDC) และสำนักงานคณะกรรมการความร่วมมือทางเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมอาเซียนและญี่ปุ่น (AMEICC)
คุโรดะ จุน ประธานเจโทร สำนักงานกรุงเทพฯ กล่าวถึงสถานการณ์ด้านการลงทุนของบริษัทญี่ปุ่นในกัมพูชาว่า ปัจจุบันมีบริษัทญี่ปุ่นลงทุนในกัมพูชามากกว่า 200 บริษัท และกัมพูชากำลังได้รับความสนใจจากบริษัทญี่ปุ่นเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ โดยส่วนใหญ่เป็นการขยายการลงทุนจากประเทศไทยซึ่งมีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจต่ำ ประกอบกับค่าแรงที่สูงขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้บริษัทญี่ปุ่นจำเป็นต้องหาโอกาสทางธุรกิจใหม่ ซึ่งกัมพูชาก็เป็นจุดหมายปลายทางที่ดี

ซุน จันทอล รองนายกรัฐมนตรีกัมพูชาและรองประธานสภาคนที่ 1 ของสภาเพื่อการพัฒนาแห่งกัมพูชา (CDC) ได้อธิบายถึงความได้เปรียบของกัมพูชาในฐานะฐานที่ตั้งการผลิต พร้อมนำเสนอสิทธิประโยชน์ด้านการลงทุนที่รัฐบาลกัมพูชามอบให้บริษัทต่างชาติ โดยเริ่มจากเน้นถึงเสถียรภาพของกัมพูชาว่า กัมพูชาเป็นประเทศที่มีอัตราเงินเฟ้อต่ำเฉลี่ยเพียง 2% เท่านั้น มีอัตราแลกเปลี่ยนสกุลเงินค่อนข้างคงที่ ทั้งยังมีอัตราส่วนหนี้สาธารณะต่อจีดีพีต่ำกว่า 40% ซึ่งหมายความว่ายังมีช่องว่างให้กู้ยืมและลงทุนเพื่อสร้างการเติบโตได้อีก
ไม่เพียงเท่านั้น รองนายกฯกัมพูชาบอกอีกว่า กัมพูชามีรัฐบาลที่คอยส่งเสริมสนับสนุนภาคธุรกิจอย่างเต็มที่ มีจำนวนแรงงานหนุ่มสาวมากที่สุดในอาเซียน อีกทั้งกัมพูชายังปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานในประเทศอย่างต่อเนื่อง ซึ่งรัฐบาลกัมพูชามีแผนขยายท่าเรือเพิ่มเติม มีแผนขยายถนนที่เชื่อมโยงตั้งแต่ปอยเปตที่อยู่ติดกับประเทศไทยลากผ่านกัมพูชาไปจนเชื่อมต่อกับนครโฮจิมินห์ของเวียดนาม และยังมีโครงการสำคัญที่ถือเป็นจุดเปลี่ยนของระบบโลจิสติกส์อย่างการขุด “คลองฟูนันเตโช” (Funan Techo Canal) ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนการขนส่งได้มากถึง 16%

รองนายกฯกัมพูชาบอกว่า อุตสาหกรรมหลักที่กัมพูชาต้องการส่งเสริมการลงทุนเป็นพิเศษ ได้แก่ อุตสาหกรรมยานยนต์ ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ และการแปรรูปอาหาร ซึ่งรัฐบาลกัมพูชาจะให้สิทธิพิเศษทางภาษีมากมาย หากภาคธุรกิจจากต่างประเทศเข้าไปลงทุนพัฒนาเทคโนโลยีและพัฒนาบุคลากรในกัมพูชา
อย่างไรก็ตาม รองนายกฯกัมพูชากล่าวว่า กัมพูชาและไทยเป็นเพื่อนบ้านที่ดีต่อกันมาโดยตลอด ขณะเดียวกันกัมพูชาก็อยากให้บริษัทต่างชาติมองว่ากัมพูชาเป็นพื้นที่สำหรับการลงทุน ด้วยเหตุนี้ แนวทาง “Thailand+1” จึงเป็นมาตรการขยายฐานการผลิตที่จะสร้างผลประโยชน์ร่วมกันทุกฝ่าย ไม่ได้เป็นการย้ายฐานการผลิตหรือสร้างผลกระทบเชิงลบต่อการผลิตของไทย
นอกจากนี้ในงานมีการเสวนาหัวข้อ “ทำไมถึงเลือกลงทุนในประเทศกัมพูชา” โดยตัวแทนบริษัทญี่ปุ่นที่ลงทุนในกัมพูชา ได้แก่ บริษัทผลิตอะไหล่ยานยนต์ “เด็นโซ่” (DENSO) ห้างสรรพสินค้า “อีออน มอลล์” (AEON MALL) และบริษัท รอยัล กรุ๊ป ปอยเปต สเปเชียล อีโคโนมิก โซน (Royal Group Poipet Special Economic Zone) ซึ่งบริหารจัดการนิคมอุตสาหกรรมในเมืองปอยเปต
ตัวแทนจากบริษัทญี่ปุ่นทั้ง 3 มีความเห็นตรงกันว่า กัมพูชามีความได้เปรียบในด้านต้นทุนแรงงานที่ถูก ทั้งยังมีแรงงานหนุ่มสาวจำนวนมาก แต่สิ่งที่กัมพูชายังเสียเปรียบไทย คือต้นทุนค่าไฟฟ้าแพงกว่าไทย เนื่องจากกัมพูชาต้องนำเข้าไฟฟ้า ทั้งยังมีโครงสร้างพื้นฐานที่ยังไม่พัฒนามากนัก
หลังจากนี้บริษัทญี่ปุ่นจะตอบรับกัมพูชาเพียงใด คงต้องติดตามต่อไป แต่ความเคลื่อนไหวครั้งนี้ของกัมพูชานับเป็นความเคลื่อนไหวที่น่าสนใจ และไทยจำเป็นต้องรู้ถึงความเคลื่อนไหวนี้