
หากไม่มีอะไรผิดคาด รัฐบาลฝรั่งเศสที่มีอายุยังไม่ถึง 3 เดือน จะ “ล่ม” ในสัปดาห์นี้ เนื่องจากโดนฝ่ายขวาจัดในรัฐสภายื่นญัตติขออภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 2 ธันวาคม 2024 ที่ผ่านมา ซึ่งการอภิปรายไม่ไว้วางใจจะเกิดขึ้นในวันที่ 4 ธันวาคมนี้
การยื่นญัตติไม่ไว้วางใจโดยพรรคเนชันเนลแรลลี (RN) เกิดขึ้นหลังจากที่นายกรัฐมนตรี มิเชล บาร์นิเยร์ (Michel Barnier) พยายามผลักดันผ่านร่างกฎหมายประกันสังคมโดยไม่ผ่านการลงมติของสมาชิกรัฐสภา ซึ่งเป็นกลไกตามรัฐธรรมนูญมาตรา 49.3 ที่อนุญาตให้รัฐบาลสามารถผลักดันการออกกฎหมายได้โดยไม่ต้องผ่านการลงมติของสภา ขณะเดียวกัน รัฐธรรมมนูญมาตราดังกล่าวก็เปิดโอกาสให้มีการลงมติไม่ไว้วางใจ ในกรณีที่สมาชิกรฐสภาไม่เห็นด้วยกับการออกกฎหมาย
ดังนั้น เมื่อพรรค RN ซึ่งมีอิทธิพลในรัฐสภาไม่ให้การสนับสนุนและเลือกขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ ความพยายามดังกล่าวของรัฐบาลจึงไม่ลุล่วง
มารีน เลอ แปง (Marine Le Pen) หัวหน้าพรรค RN กล่าวกับผู้สื่อข่าวของรอยเตอร์ว่า ประชาชนชาวฝรั่งเศสจะไม่ทนกับเรื่องนี้อีกต่อไป และกล่าวว่าบาร์นิเยร์ทำให้ฝรั่งเศสประสบปัญหาหนักขึ้น เขาจึงจำเป็นต้องออกไปจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี
การอภิปรายไม่ไว้วางใจจะเริ่มขึ้นในเวลา 16.00 น. วันที่ 4 ธันวาคมนี้ และการลงมติจะเกิดขึ้นในวันที่ 4 หรือ 5 ธันวาคม
ในการลงมติไม่ไว้วางใจ แม้ว่าฝั่งสมาชิกฝ่ายขวาซึ่งนำโดยพรรคเนชันแนลแรลลี ของ มารีน เลอแปง จะไม่มีเสียงเพียงพอที่จะโค่นรัฐบาล แต่คาดว่าสมาชิกสภาจากฝ่ายซ้ายก็จะรวมพลังกับสมาชิกฝ่ายขวาโค่นล้มรัฐบาลแนวร่วมสายกลางลงด้วย
หากผลการลงมติไม่ไว้วางใจเป็นไปตามคาด นี่จะเป็นครั้งแรกในรอบ 62 ปี นับตั้งแต่ปี 1962 ที่รัฐบาลฝรั่งเศสต้องประสบกับความอับอายจากการแพ้การลงมติไม่ไว้วางใจ และส่งผลให้บาร์นิเยร์กลายเป็นนายกรัฐมนตรีที่ดำรงตำแหน่งสั้นที่สุดในประวัติศาสตร์ฝรั่งเศสยุคใหม่ โดยอยู่ในตำแหน่งราว 3 เดือน หลังจากได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งเมื่อวันที่ 5 กันยายน 2024 และจัดตั้งรัฐบาลสำเร็จในวันที่ 21 กันยายน 2024
มีการคาดการณ์กันมาตั้งแต่ต้นว่ารัฐบาลชุดที่แสนเปราะบางนี้จะล่มลงในเวลาเพียงไม่นาน เนื่องจากเป็นรัฐบาลเสียงปริ่มน้ำที่เผชิญกับความท้าทายรอบด้าน ทั้งการผ่านร่างงบประมาณโดยที่ไม่มีเสียงข้างมากในสภา และความแตกแยกภายในพรรคร่วมรัฐบาลเองเกี่ยวกับนโยบาย “ภาษี”
ความสั่นคลอนง่อนแง่นของรัฐบาลฝรั่งเศส บวกกับความพยายามของรัฐบาลที่พยายามผลักดันมาตรการรัดเข็มขัดที่จะช่วยลดการขาดดุลการคลังมากเกินควร สร้างความกังวลในหมู่นักลงทุนและส่งผลกระทบอย่างมากต่อตลาดหุ้นและตลาดตราสารหนี้ของฝรั่งเศส ซึ่งเป็นประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 2 ของยูโรโซน
ต้นทุนการกู้ยืมของฝรั่งเศสพุ่งขึ้นสูงตั้งแต่สัปดาห์ก่อนหน้านี้ และนายกฯบาร์นิเยร์ถือโอกาสใช้สถานการณ์ของตลาดเตือนว่า ตลาดเงินตลาดทุนของฝรั่งเศสอาจจะเกิดวิกฤตหากตัวเขาถูกโค่นลงจากตำแหน่ง

อองตวน อาร์ม็องด์ (Antoine Armand) รัฐมนตรีกระทรวงการคลังฝรั่งเศส กล่าวกับสถานีโทรทัศน์ France 2 ในวันอังคารที่ 3 ธันวาคมว่า ฝรั่งเศสกำลังอยู่ในจุดเปลี่ยนสำคัญ เนื่องจากความไม่แน่นอนของงบประมาณและอนาคตของรัฐบาล และเขากล่าวโน้มน้าวสมาชิกสภาว่า นักการเมืองมีความรับผิดชอบที่จะไม่ทำให้ประเทศตกอยู่ในความไม่แน่นอนโดยการลงมติไม่ไว้วางใจนายกฯ
ทั้งนี้ หากสมาชิกเสียงข้างมาในสภาลงมติไม่ไว้วางใจ บาร์นิเยร์จะต้องลาออกจากตำแหน่งนายรัฐมนตรี แต่ประธานาธิบดี เอมมานูเอล มาครง (Emmanuel Macron) อาจขอให้เขาอยู่ในตำแหน่งรักษาการต่อไปในระหว่างสรรหานายกรัฐมนตรีคนใหม่ ซึ่งอาจไม่สามารถหาได้ทันในปีนี้ ส่วนการยุบสภาเลือกตั้งใหม่นั้นจะไม่สามารถทำได้ก่อนเดือนกรกฎาคม 2025 ตามที่กฎหมายกำหนดว่าจะยุบสภาเลือกตั้งใหม่ได้ก็ต่อเมื่อผ่านไป 1 ปี หลังการเลือกตั้งครั้งก่อนหน้า
เรื่องที่เร่งด่วนและอันตรายที่สุดสำหรับฝรั่งเศส คือ กฎหมายงบประมาณปีงบฯ 2025 ยังไม่ผ่านการอนุมัติจากรัฐสภา หากรัฐสภาไม่ผ่านร่างงบประมาณภายในวันที่ 20 ธันวาคมนี้ รัฐบาลรักษาการอาจใช้อำนาจฉุกเฉินตามรัฐธรรมนูญผ่านร่างงบประมาณได้ ซึ่งหากเป็นเช่นนั้นอาจเกิดความวุ่นวายในสภาอีกครั้ง เพราะฝ่ายค้านคงไม่ยอมง่าย ๆ แต่หากผ่านร่างงบประมาณไม่ได้ ก็จะเจอกับวิกฤตงบประมาณ และอาจต้องชัตดาวน์หรือการปิดการดำเนินงานของหน่วยงานรัฐ
ตามการรายงานของสื่อฝรั่งเศส ฟร็องส์แว็งต์-กัทร์ (France 24) มาร์ทา ลอริเมอร์ (Marta Lorimer) อาจารย์ด้านการเมือง มหาวิทยาลัยคาร์ดิฟฟ์ กล่าวว่า การล่มสลายของรัฐบาลบาร์นิเยร์ รวมถึงข้อเสนอเกี่ยวกับงบประมาณทั้งหมดจะผลักฝรั่งเศสเข้าสู่ดินแดนที่ไม่คุ้นเคย และสิ่งที่เป็นเดิมพันก็คือ “เสถียรภาพทางการเงินของฝรั่งเศส”
“หากรัฐบาลล่ม ฝรั่งเศสจะเข้าสู่ปีใหม่โดยไม่มีงบประมาณ และไม่มีเสียงข้างมากที่ชัดเจนในการผ่านงบประมาณ แม้ว่าจะมีความเป็นไปได้ที่จะขยายเวลาเบิกจ่ายงบประมาณปีงบฯ 2024 เพื่อหลีกเลี่ยงการชัตดาวน์รัฐบาล แต่ก็หมายความว่าจะไม่สามารถนำมาตรการใหม่มาใช้ได้ ไม่ว่าจะเป็นการลดค่าใช้จ่ายหรือการใช้จ่าย และยังไม่ชัดเจนว่างบประมาณใหม่จะผ่านได้อย่างไร หรือเมื่อใด”
จิโอวานี คาโปกเชีย (Giovanni Capoccia) ศาสตราจารย์ด้านการเมืองเปรียบเทียบจากภาควิชาการเมืองและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ มหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด กล่าวว่า แม้แต่การเบิกจ่ายงบประมาณของปีงบฯ 2024 เพื่อใช้ในปี 2025 ก็จำเป็นต้องผ่านการลงมติของรัฐสภา ไม่สามารถนำไปใช้ได้เลยโดยไม่มีเหตุจำเป็นที่สมควร และแม้จะทำได้ นั่นก็จะไม่ใช่วิธีแก้ปัญหาอย่างยั่งยืนสำหรับฝรั่งเศสด้วย
“ทางออกเดียวคือรัฐบาลต้องผ่านร่างงบประมาณโดยอำนาจตามกฎหมาย ซึ่งรัฐธรรมนูญอนุญาตให้ทำได้ แต่นั่นหมายถึงรัฐบาลจะต้องลาออก พวกเขาอาจจะเลือกทางนี้ แต่ก็ยังไม่ชัดเจนว่านี่เป็นสิ่งที่ยอมรับได้หรือไม่”
นอกจากนั้น ทางสุดท้ายที่ศาสตราจารย์คาโปกเชียมองคือ ประธานาธิบดีมาครงอาจต้องใช้อำนาจฉุกเฉินตามมาตรา 16 ของรัฐธรรมนูญ ที่อนุญาตให้ประธานาธิบดีสามารถใช้ได้ “ทุกมาตรการ” ตามความจำเป็นของสถานการณ์ในช่วงวิกฤต
แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นบ่อยนัก และการเลือกทางนี้มีราคาที่ต้องจ่าย ซึ่งสิ่งที่จะเห็นชัดที่สุดคือ ผลกระทบต่อการลงทุนและต้นทุนการกู้ยืม
อ้างอิง :