ทรัมป์ฉายภาพเศรษฐีนักธุรกิจ ผู้บริจาครายใหญ่ ฮุบตำแหน่งทูต

ภาพ เอเอฟพี

รู้หรือไม่ ที่มาของตำแหน่งเอกอัครราชทูตของสหรัฐแตกต่างจากประเทศส่วนใหญ่อื่นๆ กล่าวคือ ประเทศส่วนใหญ่แต่งตั้งเอกอัครราชทูตจากข้าราชการประจำในกระทรวงการต่างประเทศหรือนักการทูตโดยอาชีพ แต่สำหรับสหรัฐ นับเป็นประเพณีที่ประธานาธิบดีสหรัฐจะมอบรางวัลให้พันธมิตรและผู้สนับสนุนทางการเงินโดยการมอบตำแหน่งทูตให้ อาทิ เช่น กรุงลอนดอน กรุงปารีส ซึ่งผู้ที่ดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูตมักเป็นเพื่อนของประธานาธิบดี

ในช่วงไม่กี่สิบปีที่ผ่านมานี้ ทูตแบบแต่งตั้งทางการเมืองมีสัดส่วนที่สูงเป็นประวัติการณ์ ปรากฏใน สมัยโดนัลด์ ทรัมป์ (Donald Trump) ซึ่งมีภูมิหลังเป็นนักธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ โดยวอชิงตันโพสต์ (Washington Post) ได้กล่าวถึงตำแหน่งเอกอัครราชทูตสหรัฐว่าเป็น จุดหมายปลายทางการท่องเที่ยวสำหรับคนรวยระดับมหาเศรษฐี

ไม่กี่วันก่อนการสาบานตน ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐประกาศแต่งตั้งวอร์เรน สตีเฟนส์ ( Warren Stephens) ดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูตสหรัฐประจำอังกฤษ ซึ่งเมื่อพิจารณาจากประวัติ สตีเฟนส์เป็นผู้บริจาครายใหญ่แก่พรรครีพับลิกัน

สตีเฟนส์เป็นประธานกรรมการผู้จัดการ และซีอีโอของบริษัท สตีเฟนส์ อินคอร์เปอเรตเตด (Stephens Inc) ซึ่งเป็นบริษัทด้านบริการทางการเงินของเอกชน ตามเอกสารที่ยื่นต่อคณะกรรมการการเลือกตั้งกลางแห่งสหรัฐ ระบุว่าในปี 2024 เขาบริจาคเงินอย่างน้อยๆ 2 ล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 69 ล้านบาท) ให้กับกลุ่ม Make America Great Again Inc ซึ่งเป็นซูเปอร์แพ็ก (Super Pac) กลุ่มรณรงค์ทางการเมืองที่สนับสนุนทรัมป์

เดอะ การ์เดียน (The Guardian) รายงานว่า นับตั้งแต่ชัยชนะในการเลือกตั้งเมื่อเดือนพฤศจิกายนปีที่แล้ว ทรัมป์ได้เสนอชื่อเอกอัครราชทูตในอัตราที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนในประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา รวมห้าคนในวันเดียวก็มี

นักวิชาการวิพากษ์วิจารณ์ว่า บางคนดูไม่มีความรู้ด้านศิลปะการทูตเอาเสียเลย ในขณะที่บางคนมีสายสัมพันธ์ทางธุรกิจ ซึ่งมีความเสี่ยงที่จะเกิดผลประโยชน์ทับซ้อน หรือการขัดกันของผลประโยชน์ส่วนบุคคลกับผลประโยชน์ส่วนรวม

ADVERTISMENT

เดนนิส เจตต์ (Dennis Jett) ศาสตราจารย์ด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ มหาวิทยาลัยเพนซิลเวเนีย สเตต (Pennsylvania State University) และผู้แต่งหนังสือเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของทูตสหรัฐระบุว่า สิ่งที่ถือว่าไม่ปกติกรณีทรัมป์ คือ การที่ทรัมป์ยังไม่ได้สาบานตนเข้ารับตำแหน่งอย่างเป็นทางการ แต่ได้ประกาศแต่งตั้งเอกอัครราชทูตในทางการเมืองในจำนวนที่มากเมื่อเทียบกับว่าที่ประธานาธิบดีอื่นๆ และรายนามบุคคลที่แต่งตั้งเป็นบุคคลที่ไม่มีคุณสมบัติเลย

เจ็ตต์ระบุ ไมก์ ฮัคคาบี ผู้ได้รับการเสนอชื่อให้เป็นทูตประจำอิสราเอล เป็นผู้ได้รับการเสนอชื่อที่มมีคุณสมบัติแย่ที่สุด ฮัคคาบี ซึ่งเป็นประกาศว่าเป็นคริสเตียนไซออนิสต์ ปฏิเสธว่าเวสต์แบงก์อยู่ภายใต้การยึดครองทางทหาร ซึ่งเป็นสถานะที่ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางจากประชาคมระหว่างประเทศ และดูเหมือนว่าจะไม่น่าจะเป็นคู่สนทนาเพื่อสันติภาพระหว่างอิสราเอลและปาเลสไตน์

ADVERTISMENT

ทรัมป์ไม่ใช่ประธานาธิบดีสหรัฐคนแรกที่แต่งตั้งผู้ที่ไม่เหมาะสม ยกตัวอย่าง จอร์จ ทซูนิส (George Tsunis) ทูตที่บารัก โอบามาเลือกให้ประจำการนอร์เวย์ โอบามาต้องถอนการเสนอชื่อในปี 2014 เมื่อในขั้นตอนการยืนยันคุณสมบัติไม่ผ่านในชั้นวุฒิสภาที่เผยให้เห็นถึงความไม่รู้ที่น่าละอายเกี่ยวกับประเทศและระบบการเมืองของประเทศนอร์เวย์ ต่อมาทซูนิสได้รับการแต่งตั้งเป็นเอกอัครราชทูตประจำกรีซในเวลาต่อมาโดยโจ ไบเดน

ไมเคิล ดีซอมบรี อดีตทูตสหรัฐประจำประเทศไทย

ภาพ มติชนสุดสัปดาห์

ทรัมป์แต่งตั้งไมเคิล จอร์จ ดีซอมบรี (Michael George DeSombre) ให้ดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูตประจำประเทศไทยในระหว่างปี 2020-2021 ดีซอมบรีเป็นนักกฎหมายธุรกิจที่มีชื่อเสียง ซึ่งเชี่ยวชาญด้านการควบรวมกิจการ การซื้อกิจการ และการเจรจา เขาเป็นหุ้นส่วนที่สำนักงานกฎหมายซัลลิแวน แอนด์ ครอมเวลล์ แอลแอลพี (Sullivan & Cromwell LLP) ปี 2004 และเป็นผู้นำด้านการควบรวมกิจการและการซื้อกิจการในเอเชีย โดยมีลูกค้า ได้แก่ โกลด์แมน แซกส์ ( Goldman Sachs), แอนไฮเซอร์-บุช อินเบฟ (Anheuser-Busch InBev) และ บริษัทเครดิตสวิส (Credit Suisse)

เป็นทูตสหรัฐประจำประเทศไทยประเภทแต่งตั้งทางการเมืองคนแรกนับตั้งแต่ปี 1975 หรือในรอบกว่า 40 ปี

ตามประวัติการศึกษาที่เผยแพร่โดยทำเนียบขาว ในปี 1990 ปริญญาตรีสาขาเศรษฐศาสตร์เชิงปริมาณและปริญญาโทสาขาเอเชียตะวันออกจากมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด เขายังสำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนสอนกฎหมายฮาร์วาร์ดด้วยเกียรตินิยมอันดับหนึ่งในปี 1995

ดีซอมบรีเข้ามาในช่วงที่สหรัฐตัดสิทธิจีเอสพี (GSP) ไทย และเขายังกล่าวว่า เขาจะสนับสนุนความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างสองประเทศเป็นหลัก โดยเน้นที่การลงทุนของอเมริกาและโครงการโครงสร้างพื้นฐานและห่วงโซ่อุปทานของไทย

ทั้งนี้ ผู้ได้รับการแต่งตั้งทางการเมืองมักจะยื่นใบลาออกเมื่อมีการเข้ารับตำแหน่งของประธานาธิบดีคนใหม่ โดยดีซอมบรีได้ลาออกพร้อมกับที่ทรัมป์พ้นวาระในสมัยแรกเมื่อปี 2021

อันที่จริง ไม่ใช่ว่าผู้ได้รับการเสนอชื่อให้เป็นเอกอัครราชทูตของทรัมป์ทุกคนจะขาดคุณสมบัติ

นักวิชาการเรียกร้อง 70 : 30

พระราชบัญญัติบริการด้านต่างประเทศ พ.ศ. 2523  ( The Foreign Service Act 1980) ของสหรัฐ กำหนดว่าเอกอัครราชทูตส่วนใหญ่ควรเป็นเจ้าหน้าที่ทำงานด้านต่างประเทศโดยอาชีพ การแต่งตั้งทางการเมืองควรเป็นเรื่องที่หาได้ยาก และผู้ได้รับการแต่งตั้งทุกคนควรมีคุณสมบัติครบถ้วน เจตต์ได้เรียกร้องให้วุฒิสภาสหรัฐตรวจสอบคุณสมบัติของผู้ได้รับการเสนอชื่อโดยมีเป้าหมายที่จะกลับไปสู่มาตรฐานในอดีตที่สัดส่วนผู้ได้รับการแต่งตั้งทางการเมืองอยู่ระหว่าง 25% – 35% ของตำแหน่งเอกอัครราชทูตทั้งหมด และ 70% ควรมอบให้กับนักการทูตอาชีพ

เปอร์เซ็นต์ของทูตแบบตั้งตั้งทางการเมืองในรัฐบาลทรัมป์สมัยแรกพุ่งสูงถึง 46% ซึ่งเจ็ตต์คาดการณ์ว่าจะเพิ่มขึ้นอีกในสมัยสอง

ในสมัยแรก ทรัมป์มอบตำแหน่งทูตให้กับผู้สนับสนุนของเขาเองในสัดส่วนที่สูงเป็นประวัติการณ์ ตัวเลขแสดงให้เห็นว่าประธานาธิบดีใช้ตำแหน่งทูตเพื่อตอบแทนผู้สนับสนุนที่ร่ำรวยและไม่มีประสบการณ์ ซึ่งรวมถึงเจ้าของโรงแรมและนักออกแบบด้วย

ตามข้อมูลของสมาคมบริการต่างประเทศของอเมริกา (AFSA) ระบุว่าเอกอัครราชทูตสหรัฐที่ได้รับการเสนอชื่อจากทรัมป์ประมาณ 44 % เป็นผู้ได้รับการแต่งตั้งทางการเมือง ซึ่งเมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยในอดีตที่มีประมาณ 30 % เปอร์เซ็นต์ดังกล่าวกำลังสูงขึ้นเรื่อยๆ โดยในปี 2020 จนกระทั่งเดือนพฤษภาคมในปีเดียวกัน มีสัดส่วน 57% เป็นการเสนอชื่อแต่งตั้งทางการเมือง

ไรอัน สโควิลล์ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ด้านกฎหมายที่มหาวิทยาลัยมาร์เก็ตต์ ได้เผยแพร่ผลการศึกษาเกี่ยวกับเอกอัครราชทูตที่ได้รับการแต่งตั้งทางการเมืองเมื่อปี 2020 เปรียบเทียบการบริหารงานของทรัมป์กับสมัยโรนัลด์ เรแกน ซึ่งสโควิลล์พบว่าผู้ได้รับการแต่งตั้งใหม่นั้นด้อยกว่าในแง่ของความสามารถด้านภาษา ประสบการณ์ในรัฐและภูมิภาคที่รับตำแหน่ง ประสบการณ์ในนโยบายต่างประเทศ และประสบการณ์ในการเป็นผู้นำองค์กร

ในทางกลับกัน ผู้ได้รับการแต่งตั้งจากทรัมป์จ่ายเงินบริจาคเพื่อการรณรงค์หาเสียงมากกว่าผู้ได้รับการแต่งตั้งจากเรแกนถึง 15 เท่า

นอกจากนี้ จะเห็นได้ว่าในช่วงการหาเสียงในปี 2024 ทรัมป์ประกาศจะแต่งตั้งทูตด้านการผลิตโลก ซึ่งทำหน้าที่โน้มน้าวให้บริษัทต่างชาติทั้งคู่แข่งและพันธมิตรเข้ามาตั้งฐานการผลิตในสหรัฐ และไม่กี่วันที่ผ่านมา ทรัมป์ แต่งตั้งซิลเวสเตอร์ สตอลโลน เมล กิ๊บสัน และจอน วอยต์ เป็นทูตพิเศษให้กับวงการฮอลลีวูดที่เขามองว่ากำลังประสบปัญหา มีเป้าหมายเพื่อนำธุรกิจบันเทิงที่สูญเสียไปให้กับต่างประเทศ กลับคืนมา

ในอีกมุมหนึ่ง การแต่งตั้งทูตของทรัมป์มุ่งเน้นความสำเร็จนโยบายเศรษฐกิจ แต่ก็อาจตั้งข้อสังเกตได้ว่ามีความไม่ไว้วางใจอยู่ลึกๆ ระหว่างทำเนียบขาวและเจ้าหน้าที่ระดับสูงของกระทรวงการต่างประเทศ ซึ่งรวมถึงการที่ข้าราชการถูกกีดกันจากการมีส่วนร่วมในการกำหนดทิศทางนโยบายที่กังวลได้ด้วย