สำนักข่าวซีเอ็นเอ็นสถานการณ์ความตึงเครียดระหว่างสหรัฐอเมริกากับจีน หลังจากที่การชุมนุมประท้วงใน “ฮ่องกง” กลับมาทวีความรุนแรงขึ้นอีกครั้งเมื่อวานนี้ (27 พ.ค.) ระหว่างที่สภานิติบัญญัติของฮ่องกงเปิดการอภิปรายพิจารณาร่างกฎหมายหมิ่นเพลงชาติจีน
นายไมค์ ปอมเปโอ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของสหรัฐระบุว่า สภาคองเกรสของสหรัฐเตรียมเปิดการพิจารณาสถานภาพของฮ่องกงว่ามีอิสรภาพจากรัฐบาลจีน ตามข้อตกลงการส่งมอบคืนฮ่องกงจากรัฐบาลอังกฤษให้กับจีนในปี 1997 ซึ่งอาจส่งผลให้ฮ่องกงสูญเสียสิทธิพิเศษทางการค้าที่เคยได้รับจากสหรัฐ และกระทบต่อฐานะศูนย์กลางทางการเงินนานาชาติของฮ่องกง
- เปิด 10 อันดับมหาวิทยาลัยรัฐ-ราชภัฏ-เอกชน ที่ได้รับความนิยมมากสุด
- โปรดเกล้าฯ พระราชทานยศ ข้าราชการในพระองค์ฝ่ายทหาร 3 ราย
- ดร.วิวัฒน์ กรมดิษฐ์ ผู้อยู่เบื้องหลัง “บ้านกรมดิษฐ์” บ้านสวนลอยฟ้า
“กระทรวงการต่างประเทศจำเป็นต้องใช้กฎหมายนโยบายฮ่องกง (Hong Kong Policy Act) เพื่อประเมินความเป็นอิสระของฮ่องกงจากจีน หลังจากศึกษาพัฒนาการอย่างรอบด้านในช่วงเวลาที่จัดทำรายงาน ผมได้รายงานต่อสภาคองเกรสวันนี้ว่า ฮ่องกงไม่ได้รับการรักษาสถานภาพตามกฎหมายของสหรัฐ ในลักษณะเดียวกันกับที่กฎหมายของสหรัฐรับรองฮ่องกงก่อนปี 1997” พร้อมทั้งระบุวว่า “ในวันนี้ไม่บุคคลใดมีหลักฐานที่สามารถยืนยันได้ว่า ฮ่องกงยังคงมีอิสระในระดับสูงจากจีน” นายปอมเปโอกล่าว
ฮ่องกงอยู่ภายใต้นโยบาย “หนึ่งประเทศ สองระบบ” ของรัฐบาลจีน โดยมีอิสระในการปกครองตนเองภายใต้การดูแลของรัฐบาลจีนแผ่นดินใหญ่ แต่ภายหลังจากเกิดการชุมนุมประท้วงกฎหมายการส่งผู้ร้ายข้ามแดนในปีที่ผ่านมา สภาคองเกรสและประธานาธิบดีทรัมป์ได้ผ่าน กฎหมายประชาธิปไตยและสิทธิมนุษยชนฮ่องกง เพื่อสนับสนุนกลุ่มผู้ชุมนุม โดยกำหนดให้รัฐบาลสหรัฐทบทวนความเป็นอิสระของฮ่องกงจากจีน เพื่อพิจารณาสิทธิพิเศษทางการค้าเป็นประจำทุกปี
อย่างไรก็ตาม ในสัปดาห์ที่ผ่านมารัฐบาลจีนได้พิจารณาออก กฎหมายความมั่นคงแห่งชาติฉบับใหม่ เพื่อบังคับใช้ในฮ่องกง เพื่อต่อต้านการแบกตัว การโค่นล้มการปกครอง การก่อการร้าย และการแทรกแซงจากต่างชาติ ส่งผลให้เกิดความกังวลว่าจะกระทบต่อสิทธิเสรีภาพของชาวฮ่องกงและนักธุรกิจต่างชาติจำนวนมาก และทำให้การชุมนุมประท้วงในฮ่องกงปะทุขึ้นอีกครั้งในขณะนี้
ทั้งนี้ ฮ่องกงนับว่าเป็นคู่ค้าสำคัญของสหรัฐมาอย่างยาวนาน โดยในปี 2018 ฮ่องกงนับเป็นคู่ค้าใหญ่เป็นลำดับที่ 21 ของสหรัฐ และในไตรมาส 1/2020 สหรัฐส่งออกสินค้าไปยังฮ่องกงมากถึง 6,360 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และนำเข้าสินค้าจากฮ่องกง ถึง 952 ล้านดอลลาร์สหรัฐ นอกจากนี้ยังมีบริษัทของสหรัฐตั้งสำนักงานประกอบธุรกิจในฮ่องกงมากกว่า 1,200 บริษัท โดยในจำนวนดังกล่าวมากกว่า 800 บริษัทได้จัดตั้งสำนักงานใหญ่หรือสำนักงานระดับภูมิภาค ซึ่งหากฮ่องกงสูญเสียสิทธิพิเศษทางการค้า ไม่เพียงบริษัทของสหรัฐเท่านั้นที่จะย้ายฐานออกจากฮ่องกง แต่บริษัทต่างชาติอื่น ๆ อาจแสวงหาศูนย์กลางทางเศรษฐกิจแห่งใหม่ในภูมิภาคในการประกอบธุรกิจด้วย