เลือกตั้งสหรัฐ: “ทรัมป์” หรือ “ไบเด็น” ชนะ ส่งผลต่อไทยอย่างไร

ทรัมป์-ไบเดน เลือกตั้งสหรัฐ ผลดี ผลเสีย ต่อไทย

ภาคธุรกิจไทยลุ้นผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ 2020 หวัง “โจ ไบเดน” เอาชนะ “โดนัลด์ ทรัมป์” ส่งผลดีต่อประเทศไทย ส่งออกพุ่ง-สานต่อ CPTPP

โค้งสุดท้ายศึกเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ โพลทุกสำนักเทคะแนนให้ “โจ ไบเดน” เอกชนไทยลุ้นการเมืองสหรัฐเปลี่ยนขั้ว จับตาไบเดนหวนคืน CPTPP ศูนย์วิจัยกสิกรฯ คาดเศรษฐกิจสหรัฐฟื้นตัวเร็วขึ้นภายใต้ผู้นำใหม่-สงครามการค้าสงบแต่ยังไม่จบ ไทยได้อานิสงส์ส่งออกสหรัฐปี’64 โต 12%

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การหาเสียงเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐมาถึงโค้งสุดท้ายก่อนวันเลือกตั้ง 3 พ.ย.นี้ โดยโพลส่วนใหญ่ระบุว่า คะแนนนิยมของ “โจ ไบเดน” ผู้ท้าชิงจากพรรคเดโมแครตมีคะแนนนำ “โดนัลด์ ทรัมป์” ประธานาธิบดีสหรัฐจากพรรครีพับลิกัน อยู่ประมาณ 8-9%

สำหรับประเทศไทย ตลาดสหรัฐถือเป็นตลาดส่งออกหลัก ครองส่วนแบ่ง 14.7% โดยปี 2562 ไทยส่งออกไปสหรัฐ 31,348 ล้านเหรียญสหรัฐ และในช่วง 9 เดือนแรกที่ผ่านมา มูลค่าส่งออกไปสหรัฐอยู่ที่ 25,358 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 7.4% จากช่วงเดียวกันปีก่อน ถือเป็นตลาดส่งออกเพียงไม่กี่แห่งที่สามารถเติบโตสวนทางกับภาพรวมการส่งออกไทย ที่ยังคงหดตัว -7.33% อีกทั้งสหรัฐยังเป็นประเทศที่ให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีศุลกากร (GSP) กับไทยถึง 2,672 รายการด้วย

สหรัฐกลับเข้ากติกาโลก

นายพรศิลป์ พัชรินทร์ตนะกุล นายกสมาคมผู้ผลิตอาหารสัตว์ไทย กล่าวว่า ภาพใหญ่หากไบเดนชนะการเลือกตั้ง นโยบายการค้าระหว่างประเทศแบบที่ทรัมป์เคยใช้จะลดความร้อนแรงลง สำหรับการส่งออกและนำเข้ากากถั่วเหลืองน่าจะได้รับอานิสงส์มากกว่า

แต่หากผลการเลือกตั้งพลิกจากโพล ทรัมป์กลับมา จะยิ่งทำให้มีการใช้มาตรการการค้าขั้นรุนแรงมากขึ้น เพราะถือเป็นสมัยสุดท้ายแล้ว ซึ่งไทยก็มีความเสี่ยงที่จะถูกบีบให้ซื้อกากถั่วเหลืองจากสหรัฐ เพื่อไม่ให้ใช้มาตรการทางการค้า

สงครามการค้าไม่จบ

ด้านนายสนั่น อังอุบลกุล รองประธานกรรมการหอการค้าไทย และสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวว่า มีโอกาสที่ไบเดนจะชนะ จากปัจจัยเรื่องการควบคุมการแพร่ระบาดโควิดของทรัมป์ทำให้คะแนนนิยมลดลง ซึ่งหากไบเดนชนะการเลือกตั้ง ทางสหรัฐก็จะยังคงทำสงครามการค้ากับจีนต่อเนื่อง เพียงแต่อาจจะยกเลิกไม่ใช้นโยบาย American First และเดินหน้าขึ้นภาษีนักธุรกิจชั้นนำของสหรัฐแทน

ในส่วนของไทยก็อาจได้ประโยชน์ในแง่ที่ปลายปีนี้ สหรัฐเตรียมจะตัดสิทธิ GSP สินค้าไทย หากเปลี่ยนพรรค เปลี่ยนนโยบาย ก็มีโอกาสจะเจรจาได้ ส่วนการเจรจา CPTPP (ความตกลงที่ครอบคลุมและก้าวหน้าสำหรับหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิก) ก็มีโอกาสจะหวนกลับไปเจรจาอีกครั้ง อย่างไรก็ตาม ไทยต้องหาข้อสรุปในตัวเองก่อนว่าจะเข้าร่วมหรือไม่

“แต่ทั้งนี้ยังประมาทไม่ได้ ทรัมป์อาจจะมีกลยุทธ์ใหม่ในช่วงโค้งสุดท้ายออกมา ทำให้ชนะการเลือกตั้งก็ได้ ซึ่งหากทรัมป์ชนะ การใช้นโยบายมาตรการทางการค้าจะห้าวขึ้นแน่นอน โดยไทยจะต้องระวัง เพราะ 9 เดือนแรกส่งออกไปสหรัฐขยายตัว ได้ดุลการค้า สหรัฐก็จับตาเรื่องการใช้นโยบายแทรกแซงค่าเงินบาทของไทย เพราะก่อนหน้านี้ก็เคยใช้มาตรการนี้กับเวียดนามไปแล้ว”

ไบเดนลุยต่อ CPTPP

ดร.รัชดา เจียสกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โบลลิเกอร์ แอนด์ คอมพานี จำกัด เป็นผู้ทำการศึกษาเรื่อง CPTPP กล่าวว่า หากไบเดนชนะการเลือกตั้ง ถึงแม้ท่าทีแข็งกร้าวของสหรัฐที่มีต่อประเทศจีนจะยังไม่หายไป แต่ความสนใจต่ออาเซียนและไทยจะมีทิศทางบวกมากขึ้น โดยเฉพาะประเทศไทย ซึ่งไบเดนได้ส่งสัญญาณผ่าน Democratic Party Platform ว่า จะเร่งสร้างความสัมพันธ์กับไทย

ส่วนนโยบายการเจรจาการค้าระหว่างประเทศนั้น “มีความเป็นไปได้สูง” ที่สหรัฐจะกลับเข้าสู่การเจรจา CPTPP หลังจากทรัมป์ได้ถอนตัวจากการเจรจา

“หากพรรคเดโมแครตชนะ ก็จะให้ความสำคัญในด้านกฎเกณฑ์ มาตรฐานด้านสิ่งแวดล้อม แรงงาน และสุขอนามัย ซึ่งไทยต้องเตรียมพร้อมในการยกระดับมาตรฐานการผลิตสินค้าและบริการ”

เอกชนลุ้นคงสิทธิจีเอสพี

นางสาวกัณญภัค ตันติพิพัฒนพงศ์ ประธานสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย (สรท.) กล่าวว่า โอกาสที่นายโจ ไบเดน จะชนะเลือกตั้งสูง ซึ่งมองว่าการดำเนินนโยบายการค้าจะเป็นไปในทางที่ดี เนื่องจากไบเดนให้ความสำคัญเรื่องการสร้างสัมพันธ์ทางการค้ากับทั่วโลก และโอกาสที่ไทยจะเจรจาขอให้คงสิทธิพิเศษ GSP

นอกจากนี้มองว่าจะเป็นการสร้างโอกาสทางการค้า การแข่งขันของไทย เพราะหากนายโจ ไบเดนชนะจริง สหรัฐมีโอกาสที่จะเข้าเป็นสมาชิก CPTPP

แต่หากทรัมป์ชนะการเลือกตั้ง คงจะเดินหน้านโยบาย America First ต่อ และอาจจะ “เพิ่มความเข้มข้น” กว่าเดิม

“ไบเดน” หนุน เศรษฐกิจสหรัฐฟื้น

ด้าน ดร.เชาว์ เก่งชน ประธานกรรมการบริหาร ศูนย์วิจัยกสิกรไทย เปิดเผยว่า หากผลการเลือกตั้งนายโจ ไบเดน ชนะเลือกตั้งได้เป็นประธานาธิบดีสหรัฐคนใหม่ และพรรคเดโมแครตครองเสียงทั้งสภาบนและสภาล่าง จะมีผลต่อเศรษฐกิจสหรัฐ รวมถึงเศรษฐกิจไทยแตกต่างกันค่อนข้างมาก เมื่อเทียบกับกรณีหากนายโดนัลด์ ทรัมป์ชนะ

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินกรณีหากนายโจ ไบเดน เป็นผู้นำคนใหม่ จะนำพาเศรษฐกิจสหรัฐปี 2564 กลับมาฟื้นตัวได้ไม่ต่ำกว่า 3.0% ขณะที่หากนายโดนัลด์ ทรัมป์ชนะ คาดว่าเศรษฐกิจสหรัฐอาจขยายตัวน้อยกว่า 2.0% แต่ยังมีข้อต้องระวัง ในกรณีนายไบเดนชนะ การขาดดุลงบประมาณของสหรัฐจะสูงกว่ากรณีทรัมป์ เพราะนโยบายด้านรายจ่ายจะเพิ่มขึ้น

ไทยรับอานิสงส์ส่งออกโต

ขณะที่ผลต่อเศรษฐกิจไทยจะขึ้นอยู่กับการฟื้นตัวเศรษฐกิจสหรัฐ หากโจ ไบเดน ได้เป็นผู้นำคนใหม่ เศรษฐกิจสหรัฐที่คาดว่าจะขยายตัวดีกว่า จะส่งผลต่อความต้องการสินค้าอุปโภคบริโภค ซึ่งเป็นสินค้าส่งออกหลักของไทยไปสหรัฐ อาทิ อุปกรณ์คอมพิวเตอร์และส่วนประกอบ ผลิตภัณฑ์ยาง อาหารทะเลแปรรูป ส่งผลให้การส่งออกของไทยไปสหรัฐ ปี 2564 มีโอกาสขยายตัวได้ดี 10-12% ด้วยมูลค่าราว 36,700-37,300 ล้านดอลลาร์ จากปี 2563 ที่คาดว่าจะขยายตัวได้ 6.4% แต่ถ้าพลิกโผเป็นโดนัลด์ ทรัมป์ การส่งออกของไทยอาจเติบโตต่ำกว่า 5%

ดร.เชาว์กล่าวอีกว่า ผลทางอ้อมจะเป็นเรื่องบรรยากาศทางการค้า โดยเฉพาะกรณีสงครามการค้ากับจีน หากทรัมป์ชนะอาจจะปรับขึ้นภาษีอีกรอบ ซึ่งจะส่งผลกระทบกับสินค้าไทยด้วย เนื่องจากเป็นซัพพลายเชนของสินค้าจีน แต่หากไบเดนชนะ ประเมินว่าไม่น่าจะมีมาตรการตึงเครียด แม้จะไม่ได้ยกเลิกมาตรการกีดกันทางการค้าในเวลาอันสั้น

4 มุมมองผลเลือกตั้งสหรัฐ

ด้านนายทิม ลีฬหะพันธุ์ นักเศรษฐศาสตร์ ธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด (ไทย) กล่าวว่า มุมมองต่อการเลือกตั้งสหรัฐมี 4 ข้อ คือ 1.หากโจ ไบเดน ชนะการเลือกตั้ง แม้ว่าข้อปฏิบัติกับจีนจะดีขึ้น แต่เชื่อว่าแรงกดดันต่อจีนจะมีอยู่ แต่จะใช้วิธีอื่น ๆ แต่จะไม่ใช่ระยะเวลาอันสั้น เนื่องจากไบเดนน่าจะให้ความสำคัญกับการแก้ไขปัญหาโควิด-19 ก่อนเป็นอันดับแรก

2.หากทรัมป์ชนะการเลือกตั้ง จะเห็นการเก็บภาษีจีนต่อ แต่สิ่งที่อยากให้มอง คือช่วง 4 ปีที่ผ่านมา ประเทศที่ได้ประโยชน์จากสงครามการค้าสหรัฐและจีน คือ “เวียดนาม” ที่เห็นการย้ายฐานผลิตเข้าไปในเวียดนามจำนวนมาก ดังนั้นหากทรัมป์มา เวียดนามก็น่าจะยังคงได้ประโยชน์ต่อเนื่อง ประเด็นคือไทยจะทำอย่างไรที่จะทำให้เงินลงทุนเข้าไทยได้

จีนสำคัญกับไทยมากกว่าสหรัฐ

3.การเลือกตั้งสหรัฐไม่มีผลโดยตรงต่อภูมิภาคเอเชีย ไม่ว่าใครจะมา แต่เอเชียและไทยจะได้รับผลกระทบจากตัวหลักอย่างประเทศจีน ซึ่งสิ่งสำคัญคือระยะข้างหน้า จีนหันมาพึ่งพากำลังซื้อและเทคโนโลยีภายในประเทศมากขึ้น ซึ่งถือเป็นผลดีต่อห่วงโซ่การผลิตในภูมิภาคและไทยมากกว่า

4.เอเชียและไทยพึ่งพิงการค้าและการลงทุนจากต่างประเทศค่อนข้างมาก ใครชนะก็ตาม อยู่ที่โอกาสการเจรจาซึ่งที่ผ่านมา 4 ปี ภายใต้ประธานาธิบดีทรัมป์พบว่า การเจรจาการค้าและการลงทุนมีอุปสรรคค่อนข้างมาก ซึ่งมองว่าหากไบเดนได้รับตำแหน่ง อุปสรรคเหล่านี้น่าจะมีสัญญาณที่ดีขึ้นได้

“เราให้น้ำหนักในข้อที่ 1-3 เพราะจะมีผลกับไทยค่อนข้างมาก โดยเฉพาะประเทศที่ได้ประโยชน์จากการกีดกันทางการค้า หากเราไม่ได้เป็นผู้ชนะที่ชัดเจนในอีก 4 ปีข้างหน้า เราจะทำอย่างไรให้ทันเวียดนาม ส่วนเรื่องค่าเงินอาจจะเหมือนที่หลายคนคาดการณ์คือ ทรัมป์อยู่ต่อ บาทอ่อน แต่ถ้าไบเดนมา เงินบาทจะแข็งค่า” นายทิมกล่าว

หนุนฟันด์โฟลว์เข้าเอเชีย

ขณะที่นายฐกฤต ชาติเชิดศักดิ์ ผู้ช่วยผู้จัดการฝ่ายวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เอเซีย พลัส จำกัด กล่าวว่า คะแนนความนิยมของตลาดหุ้นและตลาดเงินเทน้ำหนักไปทาง “โจ ไบเดน” และพรรคเดโมแครตอาจได้ครองเสียงทั้งวุฒิสภาและสภาผู้แทนราษฎรด้วย หากเป็นไปตามโพลและฝ่ายวิจัยคาด นโยบายเศรษฐกิจจะยังเหมือนกับพรรครีพับลิกัน คือ นโยบายการค้าระหว่างประเทศ ซึ่งจีนจะยังคงโดนกีดกันการค้าต่อไป

ด้านเงินทุนเคลื่อนย้าย (ฟันด์โฟลว์) จะมีเงินไหลออกจากสหรัฐไปยุโรปและเอเชีย ในประเทศที่เศรษฐกิจขยายตัวได้ดี เช่น จีน, เวียดนาม หรือกลุ่ม TIP (ไทย, อินโดนีเซีย, ฟิลิปปินส์) แต่การเติบโตของเศรษฐกิจไทยอาจจะยังไม่ฟื้นตัวดีมากเมื่อเทียบในกลุ่ม