“ยูนิลิเวอร์” เตรียมขายอาหาร “plant-based” 3.5 หมื่นล้านบาท

plant base
(Photo by DAVID MCNEW / AFP)

“ยูนิลิเวอร์” ตามเทรนด์รักโลก เตรียมทำยอดขายอาหาร “plant-based” 3.5 หมื่นล้านบาท

ถึงแม้ตลาดสินค้า plant-based จะมีส่วนแบ่งตลาดเพียง 5% สำหรับสินค้าจำพวกเนื้อและนมในประเทศที่พัฒนาแล้ว แต่ประธานฝ่ายอาหารยูนิลิเวอร์เชื่อว่าสินค้าเหล่านี้จะสามารถขยายตัวครองตลาดได้ถึง 50%

สำนักข่าวไฟแนนเชียล ไทม์รายงานว่า บริษัท “ยูนิลีเวอร์” (Unilever) แถลงการณ์จะทำยอดขายจากผลิตภัณฑ์อาหารจากพืช (plant-based) ที่แปรรูปมาเป็นผลิตภัณฑ์เนื้อและนม 1 พันล้านยูโร (3.5 หมื่นล้านบาท) ในช่วง 5-7 ปีข้างหน้า เพื่อให้ผู้บริโภคหันมา “รักโลก” และช่วยชะลอการเปลี่ยนแปลงทางสภาพภูมิอากาศ (Climate Change)

“แฮนเนก เฟเบอร์” ประธานฝ่ายอาหารยูนิลิเวอร์ กล่าวว่าผู้บริโภคต้องเปลี่ยนพฤติกรรมหันมาบริโภคอาหารที่ทำมาจากพืช (plant-based) มากกว่าการบริโภคเนื้อสัตว์ เนื่องจากกระบวนการผลิตเนื้อสัตว์มีการปล่อยคาร์บอน และเป็นภัยต่อ “ภาวะอากาศเปลี่ยนแปลง” (Climate Change) การหันมาบริโภคสินค้า plant-based จึงสามารถมาช่วยโลกได้

นักวิเคราะห์มองว่าทางยูนิลิเวอร์กำลังตามเทรนด์ที่บริษัทต่าง ๆ ทั่วโลกเริ่มหันมาใช้เทคโนโลยีมาผลิตอาหาร plant-based อย่างบริษัทคู่แข่ง “เนสท์เล่” (Nestle) และ “บียอนด์ มีท” (Beyond Meat) ซึ่งเป็นทางเลือกให้ผู้บริโภคสามารถบริโภคอาหารที่รสชาติและผิวสัมพัสเหมือนเนื้อสัตว์ แต่ไม่มีกระบวนการปศุสัตว์ที่เข้ามา “ทำลายโลก”

ก่อนหน้านี้ บริษัทยูนิลิเวอร์เป็นผู้ผลิตซัพพลายเออร์เนื้อ plant-based ให้ร้านอาหาร “เบอร์เกอร์ คิง” (Burger King) สำหรับเบอร์เกอร์ “Rebel Whooper” ที่ทางร้านได้เริ่มขายตามสาขาต่าง ๆ แถบยุโรปเมื่อปีที่แล้ว โดยในอนาคตทางบริษัทมุ่งมั่นผลิตอาหาร plant-based อย่าง “เนื้อ” ที่ทำมาจากสาหร่ายขนาดจิ๋วเพิ่มขึ้นมา และผลิตภัณฑ์ไอศกรีมที่ปราศจากนม

นอกจากนี้ นางแฮนเนกระบุว่า ถึงแม้ตลาดสินค้า plant-based จะมีส่วนแบ่งตลาดเพียง 5% สำหรับสินค้าจำพวกเนื้อและนมในประเทศที่พัฒนาแล้ว แต่เชื่อว่าในอนาคตผลิตภัณฑ์เหล่านี้อาจจะขยายตัวครองตลาดได้ถึง 50%

“แฟรงก์ มิทโลเนอร์” อาจารย์คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย กล่าวว่าบริษัทยักษ์ใหญ่ต่าง ๆ กำลังเริ่มเข้ามาตีตลาดในอุตสาหกรรม และกำลังจะมี “การขยายตัวครั้งใหญ่” ของอุตสาหกรรมนี้

เมื่อปี 2019 บริษัทยูนิลิเวอร์ทำยอดขายจากผลิตภัณฑ์อาหารในเครืออย่าง “ลิปตัน” (Lipton) “แม็กนัม” (Magnum) “วอลล์” (Wall’s) และอีกกว่า 80 บริษัทได้ถึง 1.93 หมื่นล้านยูโร (6.9 แสนล้านบาท) ทั่วโลก