ประวัติ “อองซาน ซูจี” วีรสตรีหญิงผู้เรียกร้องประชาธิปไตย สู่วันที่ถูกยึดอำนาจอีกครั้งจากรัฐบาลทหารในเมียนมา
หนึ่งในผู้นำหญิงสุดแกร่งประเทศ “เมียนมา” อย่าง “อองซาน ซูจี” ที่ล่าสุดได้ถูกจับกุมตัวพร้อมกับ “อู วิน มินต์” ประธานาธิบดีเมียนมา จากการทำรัฐประหารเข้ายึดอำนาจของ “พล.อ.มิน อ่อง ลาย” ผู้บัญชาการทหารสูงสุด ในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2564
- ร้านธงฟ้า 1.4 แสนแห่ง พร้อมรับดิจิทัลวอลเลต เช็กจังหวัดไหนร้านธงฟ้ามาก-น้อยสุด
- นักท่องเที่ยวเข้าต่ำแสน หวั่นโลว์ซีซั่นทรุดหนัก ททท.ชี้กระทบสั้นยอดบุ๊กกิ้งแอร์ไลน์แน่น
- เปิด 10 อันดับมหาวิทยาลัยรัฐ-ราชภัฏ-เอกชน ที่ได้รับความนิยมมากสุด
“ประชาชาติธุรกิจ” รวบรวมข้อมูลประวัติของ “อองซาน ซูจี” ซึ่งเป็น ที่ปรึกษาแห่งรัฐ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ และประธานพรรคสันนิบาตแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตย (NLD) ดังนี้
“ซูจี” เข้าสู่การเมือง
“ซูจี” เป็นนักการเมืองหญิงวัย 75 ปี เกิดในปี 2488 บุตรสาวคนเล็กสุดของ “นายพลอองซาน” วีรบุรุษนักสู้เพื่อเอกราช ที่ถูกลอบสังหารตอน “ซูจี” อายุได้ 2 ขวบ ทำให้ต้องอาศัยอยู่กับผู้เป็นแม่ “ดอว์ขิ่นจี” จนกระทั่งเติบโต มีครอบครัว และเดินทางกลับมาเมียนมาในปี 2531 ด้วยวัย 43 ปี
การกลับมาเมียนมาครั้งนี้ ถือเป็นการเริ่มต้นชีวิตทางการเมือง โดย “ซูจี” ได้เข้าร่วมกิจกรรมขึ้นปราศรัยต่อหน้าสาธารณชนเป็นครั้งแรก เมื่อวันที่ 15 สิงหาคม เพื่อเรียกร้องให้มีการจัดตั้งรัฐบาลประชาธิปไตย จากผู้นำทหารที่จะจัดตั้งสภาฟื้นฟูกฎระเบียบแห่งรัฐขึ้นแทน
จนกระทั่งวันที่ 24 กันยายน 2531 “ซูจี” ได้จัดตั้งพรรคสันนิบาตแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตย และได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่งเลขาธิการพรรค
ถูกจองจำ ครั้งแรก-ปัจจุบัน
ตั้งแต่ ปี 2532-2546 “ซูจี” ถูกกักบริเวณ และได้รับการปล่อยตัว เป็นลูปอยู่อย่างนั้นเรื่อยมา จนกระทั่งปี 2553 ได้รับการปล่อยตัวอย่างเป็นทางการ ซึ่งการถูกจับกักบริเวณแต่ละครั้ง ล้วนเป็นผลมาจากการเคลื่อนไหวทางการเมืองที่ต่อสู้กับรัฐบาลทหารทั้งสิ้น
จนล่าสุด วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2564 “ซูจี” ได้ถูกจับกุมตัวอีกครั้งจากการทำรัฐประหารของ พล.อ.มิน อ่อง ลาย ผู้บัญชาการทหารสูงสุด หลังถูกกล่าวหาว่า ทุจริตการเลือกตั้ง เมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน 2563 ที่ผ่านมา
รางวัลแห่งเกียรติยศ ระหว่างจองจำ
ในปี 2534 ขณะที่ “ซูจี” กำลังถูกกักบริเวณ คณะกรรมการโนเบลแห่งประเทศนอร์เวย์ ก็ยังได้ประกาศชื่อ “อองซาน ซูจี” เป็นผู้ได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ ซึ่งเธอไม่ได้เดินทางไปรับรางวัลด้วยตัวเอง
“อเล็กซานเดอร์” และ “คิม” บุตรชายทั้งสองของ “ซูจี” ได้บินไปรับรางวัลแทนมารดาที่กรุงออสโล ประเทศนอร์เวย์
“อเล็กซานเดอร์” กล่าวกับคณะกรรมการและผู้มาร่วมในพิธีว่า “ผมรู้ว่าถ้าแม่มีอิสรภาพและอยู่ที่นี่ในวันนี้ แม่จะขอบคุณพวกคุณพร้อมกับขอร้อง ให้พวกคุณร่วมกันสวดมนต์ ให้ทั้งผู้กดขี่และผู้ถูกกดขี่โยนอาวุธทิ้ง และหันมาร่วมกันสร้างชาติด้วยความเมตตากรุณาและจิตวิญญาณแห่งสันติ”
ความท้าทายปัญหา “โรฮีนจา”
“ซูจี” ได้เผชิญกับปัญหาระดับมนุษยชาติ กับการอพยพของ “ชาวโรฮีนจา” เมื่อปี 2560
บีบีซี รายงานว่า ชาวโรฮีนจา ชาวมุสลิมส่วนน้อยของประเทศ มีประชากรนับแสนคน ที่ได้อพยพไปบังคลาเทศ ภายหลังกองทัพเมียนมาส่งทหารเข้าปราบปรามกลุ่มติดอาวุธที่ก่อเหตุจลาจลในรัฐยะไข่
ผู้สนับสนุนเธอในเวทีนานาชาติในอดีตกล่าวหาเธอว่า ละเลย ไม่ใส่ใจที่จะสกัดกั้นการสังหารและข่มขืนชาวโรฮีนจา ที่เกือบเรียกได้ว่าเป็นการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ เพราะเธอปฏิเสธที่จะประณามกองทัพที่ทรงอำนาจ และไม่ยอมรับว่ามีการสังหารหมู่เกิดขึ้นในประเทศ แม้จะเผชิญเสียงวิจารณ์จากนานาชาติ ในปัญหา โรฮีนจา แต่ด้วยความเสียสละและความกล้าหาญในการเรียกร้องประชาธิปไตย ทำให้ “ซูจี” ได้รับความนิยมอย่างสูงในหมู่ชาวพุทธ ที่เป็นประชากรส่วนใหญ่ในประเทศเมียนมา