นับถอยหลัง “รถยนต์ใช้น้ำมัน” “นอร์เวย์” เข้าวิน “รถอีวี” 100%

กระแส “รถยนต์ไฟฟ้า” (Electric Vehicle : EV) ที่กำลังค่อย ๆ กลืนกินรถยนต์ที่ใช้แก๊สและน้ำมันให้หายไปเรื่อย ๆ โดยขณะนี้หลายประเทศทั่วโลกได้ตั้งเป้านโยบายส่งเสริมการใช้รถอีวี พร้อม ๆ กับการประกาศยกเลิกการผลิตและการใช้รถยนต์ที่ใช้น้ำมันเป็นเชื้อเพลิง ซึ่งมีการประเมินว่า “นอร์เวย์” จะเป็นประเทศแรกของโลกที่บรรลุเป้าหมายผลักดันการใช้รถยนต์อีวีแบบ 100% ในปี 2025

รัฐบาลหลายประเทศเริ่มปรับเปลี่ยนนโยบายที่เกื้อหนุนตลาดรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศมากขึ้น ตัวอย่างจาก “เยอรมนี” ที่ประกาศนโยบายเมื่อปีก่อน โดยรัฐบาลจะออกมาตรการทางภาษีเพื่อบังคับให้ผู้ผลิตรถยนต์ยุติการจำหน่ายรถยนต์ที่ใช้น้ำมันเชื้อเพลิง แล้วหันมาใช้พลังงานไฟฟ้าหรือพลังงานที่ไม่ปล่อยมลพิษแทนภายในปี 2030 ทั้งยังเสนอให้กลุ่มประเทศในสหภาพยุโรป (อียู) หันมาพิจารณามาตรการดังกล่าวร่วมกัน

ขณะที่เมื่อเดือน ก.ค.ที่ผ่านมา “ฝรั่งเศส” ได้ประกาศว่าเห็นด้วยในแนวคิดดังกล่าว พร้อมตั้งเป้าจะห้ามการซื้อขายรถทุกประเภทที่ใช้น้ำมันเชื้อเพลิงในอีก 23 ปีข้างหน้า (ปี 2040)

“นิโกลาส์ ฮูโลต์” รัฐมนตรีกระทรวงสิ่งแวดล้อมฝรั่งเศส กล่าวว่า รัฐบาลให้ความสำคัญกับกลุ่มผู้มีรายได้น้อย ด้วยการให้ความช่วยเหลือทางการเงินในการซื้อรถคันใหม่เพื่อทดแทนรถยนต์ที่ก่อให้เกิดมลพิษ และอาจมีนโยบายจูงใจทางภาษีสำหรับรถยนต์คันใหม่เร็ว ๆ นี้ด้วย

สำหรับ “อังกฤษ” ได้มีนโยบายสั่งห้ามการผลิตรถยนต์ที่ใช้น้ำมันดีเซลและเบนซิน นับตั้งแต่ปี 2040 เป็นต้นไป เพื่อแก้ปัญหามลพิษ และคาดว่าภายในปี 2050 รถที่วิ่งบนท้องถนนทุกคันจะเป็นรถปลอดมลพิษ ขณะเดียวกันก็มีนโยบายสนับสนุนเงินมูลค่า 255 ล้านปอนด์ เพื่อช่วยเหลือหน่วยงานต่าง ๆ ในการแก้ปัญหามลพิษที่ปล่อยออกมาจากยานพาหนะ โดยกองทุนดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของงบประมาณภาครัฐ 3,000 ล้านปอนด์ ที่รัฐบาลมุ่งในการปรับปรุงคุณภาพอากาศ

บีบีซีรายงานว่า นักวิเคราะห์มองว่ามีความเป็นไปได้สูงที่ในอนาคตอีกไม่นานยุโรปจะเป็นทวีปที่ไม่มีรถยนต์ที่ใช้น้ำมันวางจำหน่าย และรถยนต์บนท้องถนนจะเป็นพลังงานไฟฟ้า 100% หรืออย่างน้อย 98%

สำหรับโซนเอเชียก็กระตือรือร้นในการเปลี่ยนแปลงนี้ไม่แพ้กัน โดยเฉพาะ “ประเทศจีน” ที่ถือว่าเป็นตลาดรถยนต์ขนาดใหญ่ที่สุดในโลก ก็เริ่มวางแผนห้ามผลิตและจำหน่ายรถยนต์ และรถตู้ที่ใช้น้ำมันดีเซลและเบนซินเช่นกัน

นายซิน กว๋อปิน รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เผยว่าจีนได้เริ่มวิจัยรถยนต์ไฟฟ้าและอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง โดยต้องการให้รถยนต์พลังงานไฟฟ้า และรถปลั๊กอินไฮบริด มีสัดส่วนอย่างน้อย 1 ใน 5 ของรถยนต์ที่จำหน่ายในจีนภายในปี 2025 และตั้งเป้าภายในปี 2030 ผู้ผลิตรถยนต์ต้องผลิตและจำหน่ายรถยนต์ไฟฟ้าเท่านั้น

ขณะที่ “ญี่ปุ่น” แม้จะมีการพัฒนารถพลังงานไฟฟ้ามานานนับทศวรรษ แต่สัดส่วนการใช้รถยนต์ไฟฟ้ายังมีไม่ถึง 1% ของยอดขายรถทุกประเภท ดังนั้น รัฐบาลจึงตั้งเป้าส่งเสริมการใช้รถยนต์ไฟฟ้าเพิ่มขึ้น โดยต้องการเพิ่มสัดส่วนเป็น 20-30% ของยอดขายรถยนต์ทั้งหมด ภายในปี 2030 หรืออีก 13 ปีข้างหน้า โดยรัฐบาลออกมาตรการให้เงินอุดหนุนสำหรับการซื้อรถยนต์ไฟฟ้าเพื่อเป็นการจูงใจ ทั้งยังสนับสนุนโครงการวิจัยและพัฒนาแบตเตอรี่รถยนต์และระบบชาร์จไฟ โดยมุ่งให้ต้นทุนลดลงและชาร์จไฟได้เร็วขึ้น ทั้งยังให้เงินอุดหนุนการติดตั้งจุดชาร์จไฟฟ้าในสถานที่ต่าง ๆ ด้วย

ส่วน “อินเดีย” อีก 1 ประเทศที่มีเป้าหมายชัดเจน และเริ่มแผนการนำร่องแล้ว โดยนายกรัฐมนตรีนเรนทรา โมดิ ตั้งเป้าให้ประเทศอินเดียใช้รถพลังงานไฟฟ้าแทนที่รถทุกประเภทที่ใช้น้ำมันทั่วประเทศภายในปี 2030 ซึ่งปัจจุบันได้เริ่มทดลองแผนการดังกล่าวแล้ว โดยเริ่มจาก “รถโดยสารสาธารณะ” ในกรุงนิวเดลี ซึ่งเป็น 1 ใน 13 เมืองที่มีปัญหามลพิษทางอากาศมากที่สุดใน 20 เมืองทั่วโลก

และที่น่าสนใจคือ รายงานจาก “Dagens Naeringsliv” หนังสือพิมพ์รายวันของนอร์เวย์ ระบุว่า นักวิเคราะห์ในวงการอุตสาหกรรมยานยนต์มองว่า แม้หลายประเทศเริ่มออกนโยบายสนับสนุนรถยนต์ไฟฟ้าอย่างต่อเนื่อง แต่ “นอร์เวย์” เป็นประเทศที่มีโอกาสบรรลุเป้าหมายมากที่สุด โดยรัฐบาลนอร์เวย์ตั้งเป้าภายในปี 2025 รถใหม่ที่จำหน่ายในประเทศทั้งหมดต้องเป็นรถยนต์ไฟฟ้า 100% ซึ่งเป็นเป้าหมายที่อยู่ในระยะใกล้ที่สุดเมื่อเทียบกับประเทศอื่น

สำนักงานสถิติของนอร์เวย์ระบุว่า เมื่อสิ้นปี 2016 ประเทศนอร์เวย์มีการใช้รถยนต์พลังงานไฟฟ้า 100,000 คัน และคาดว่าจะเพิ่มเป็น 400,000 คันภายในปี 2020 ตัวเลขดังกล่าวถือว่าสูงมากสำหรับประเทศที่มีประชากรเพียง 5.2 ล้านคน

รัฐมนตรีคมนาคมของนอร์เวย์ระบุว่า มีความเป็นไปได้ที่จะเห็นรถพลังงานไฟฟ้าวิ่งเต็มท้องถนนของนอร์เวย์ในปี 2025 เพราะด้วยปัจจัยสนับสนุนต่าง ๆเช่น ราคารถพลังงานไฟฟ้าที่ลดลงอย่างรวดเร็ว พร้อมกันนี้รัฐบาลยังได้สร้างแรงจูงใจด้วยการงดเว้นการเก็บภาษี 25% แก่ผู้ซื้อรถยนต์ไฟฟ้าทุกราย

อีกหนึ่งปัจจัยสำคัญมาจาก “ราคาไฟฟ้า” ที่ถูกลงของหลายประเทศในยุโรปและสแกนดิเนเวียที่หันมาใช้พลังงานทางเลือก โดยเฉพาะนอร์เวย์ที่ 97% เป็นไฟฟ้าพลังน้ำ เป็นการใช้ประโยชน์จากการละลายของหิมะขั้วโลกตลอดทั้งปี ทำให้นอร์เวย์สามารถพัฒนาเขื่อนพลังน้ำด้วยต้นทุนต่ำ ส่งผลให้นอร์เวย์มีค่าไฟฟ้าที่ถูกมากเมื่อเทียบกับรายได้ต่อหัวของประชากร สื่อบางฉบับระบุว่า ค่าไฟของนอร์เวย์ราคาถูกพอ ๆ กับประเทศไทย แต่รายได้ประชากรมากกว่าไทยถึง 3-4 เท่าตัว

“อีลอน มัสก์” ซีอีโอ เทสล่า มอเตอร์ เคยกล่าวไว้ว่า “แม้ประเทศหลัก ๆ ที่มีบทบาทในอุตสาหกรรมยานยนต์ จะเริ่มขับเคลื่อนนโยบายส่งเสริมรถยนต์อีวี แต่ไฮไลต์จะอยู่ที่นอร์เวย์ ซึ่งถือว่ารัฐบาลนอร์เวย์ได้ปูทางแนวคิดนี้เป็นชาติแรก และเมื่อเร็ว ๆ นี้ ยังวางแผนจะใช้เรือคอนเทนเนอร์ที่ขับเคลื่อนอัตโนมัติด้วยพลังงานไฟฟ้า เป็นลำแรกของโลกในปี 2018 ถือเป็นชาติที่มีความเคลื่อนไหวเรื่องนี้มากที่สุดในตอนนี้”