เขตปกครองในจีน แบนการขุด “บิตคอยน์” ชี้ผลกระทบใช้พลังงานไฟฟ้ามหาศาล

REUTERS/Dado Ruvic/Illustration/File Photo

“เขตปกครองมองโกเลียใน” ของประเทศจีน ได้แบนการขุดสกุลดิจิทัลอย่าง”บิตคอยน์” หลังนักขุดทั่วโลกแห่ไปเปิดเหมืองขุดบิตคอยน์ ส่งผลกระทบการใช้พลังงานไฟฟ้าเพิ่มขึ้นมหาศาล นักเศรษฐศาสตร์เผยการขุดบิตคอยน์ที่ผ่านมา ใช้พลังงานไฟฟ้ามากกว่า การใช้ไฟฟ้าของ”ไอร์แลนด์”ทั้งประเทศ

วันที่ 2 มีนาคม 2564 สำนักข่าวรอยเตอร์สรายงานว่า เขตปกครองตนเองมองโกเลียใน (Inner Mongolia) สาธารณรัฐประชาชนจีน ได้สั่งปิดเหมืองขุดสกุลดิจิทัล (cryptocurrency mining) ทั้งหมดภายในเดือนเมษายน 2021 เพื่อลดการใช้พลังงานไฟฟ้าภายในเขตปกครองดังกล่าว หลังพบว่าการขุดสกุลดิจิทัลอย่าง “บิตคอยน์” (Bitcoin) ทำให้เขตกครองมีการใช้พลังงานไฟฟ้าเพิ่มขึ้นจำนวนมหาศาล

เขตปกครองตนเองมองโกเลียใน ได้กลายเป็น “แหล่งขุดสกุลดิจิทัล” จากนักขุดทั่วโลก เนื่องจากเป็นเขตที่พลังงานไฟฟ้าราคาถูก ทั้งนี้คำสั่งแบนการขุดบิตคอยน์มีขึ้นหลังจากมองโกเลียในเป็นเขตปกครองเดียวจาก 30 เขตภายในจีน ที่มีการใช้พลังงานไฟฟ้าเกินกำหนดของประเทศเมื่อปี 2019 ซึ่งได้รับคำติจากรัฐบาลกลางอย่างมาก

รายงานข่าวระบุว่าหลังจากผู้คนทั่วโลกเริ่มหันมาสนใจสกุลเงินดิจิทัล “บิตคอยน์” มากขึ้นเรื่อย ๆ เทรนด์การขุดบิตคอยน์ (Bitcoin mining) ก็เพิ่มมากขึ้นเช่นกัน ซึ่งได้ทำให้มีผลกระทบที่เลวร้ายต่อสิ่งแวดล้อมมาก

โดยการขุดบิตคอยน์คือการแก้โจทย์สมการที่ถูกคิดค้นมาโดยระบบ “บล็อคเชน” ซึ่งนักขุดที่สามารถแก้สมการได้จะมีรางวัลคือเหรียญบิตคอยน์ โดยช่วงแรกเริ่มเมื่อปี 2009 ยังคงสามารถขุดบิตคอยน์ได้บนคอมพิวเตอร์ทั่วไป

อย่างไรก็ตาม ผู้คิดค้นระบบสกุลดิจิทัลบิตคอยน์ได้จำกัดจำนวนบิตคอยน์ทั่วโลกอยู่ที่ 21 ล้านเหรียญ และยิ่งมีบิตคอยน์ที่ถูกขุดเยอะขึ้น อัลกอริทึมหรือสมการคณิตสำหรับการขุดบิตคอยน์ก็จะยากขึ้นเช่นกัน

ทั้งนี้ปัจจุบันมีบิตคอยน์ที่ถูกขุดไปแล้ว 18.5 ล้านเหรียญ ทำให้สมการยากขึ้นเรื่อย ๆ และทำให้คอมพิวเตอร์ทั่วไปไม่สามารถแก้สมการสำหรับการขุดบิตคอยน์ได้อีกต่อไป เพราะฉะนั้นเหล่านักขุดบิตคอยน์จึงต้องใช้ “ซูเปอร์คอมพิวเตอร์” เพื่อให้สามารถแก้สมการได้ ซึ่งคอมพิวเตอร์เหล่านี้ใช้พลังงานไฟฟ้าอย่างมาก

“เบนจามิน โจนส์” อาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยนิวเม็กซิโกกล่าวว่า ที่ผ่านมาพลังงานไฟฟ้าใช้สำหรับการขุดบิตคอยน์อย่างเดียว มากกว่าการใช้พลังงานไฟฟ้าของทั้งประเทศ อย่างไอร์แลนด์ เป็นต้น

“เรากำลังพูดถึงการใช้พลังงานไฟฟ้าหลายเทราวัตต์ (พันล้านกิโลวัตต์) ต่อปี สำหรับการขุดบิตคอยน์อย่างเดียว ซึ่งถือเป็นการใช้พลังงานไฟฟ้าที่เยอะมาก” เบนจามิน โจนส์ กล่าว

นอกจากนี้ เทรนด์การขุดบิตคอยน์ได้ทำให้นักสิ่งแวดล้อมทั่วโลก เป็นกังวลต่อสิ่งแวดล้อมอย่างมาก เนื่องจากนักขุดมักจะไปตามแหล่งพลังงานไฟฟ้าราคาถูก ซึ่งประเทศเหล่านั้นยังคงใช้พลังงานถ่านหินเป็นแหล่งผลิตพลังงานไฟฟ้าอยู่

ข้อมูลจากมหาวิทยาลัยเคมบริตจ์ระบุว่า จีนเป็นประเทศที่มีการขุดบิตคอยน์มากที่สุดในโลก ขณะที่พลังงานไฟฟ้า 2 ใน 3 ภายในประเทศยังคงมาจากถ่านหิน และจีนยังไม่มีหน่วยงานที่คอยควบคุมการขุดบิตคอยน์ จึงไม่สามารถรู้ได้ว่าคนที่ขุดบิตคอยน์นั้นใช้ไฟฟ้าจากพลังงานสะอาด หรือพลังงานถ่านหิน

ดังนั้นนักขุดบิตคอยน์ จะย้ายถิ่นฐานไปยังเมืองหรือประเทศที่พลังงานไฟฟ้าถูกที่สุด ซึ่งภายในประเทศจีนนอกจากเขตปกครองตนเองมองโกเลียในแล้ว มณฑลเสฉวน และเขตปกครองตนเองซินเจียง เป็นที่ยอดฮิตของนักขุดบิตคอยน์ เนื่องจากไฟฟ้าราคาถูกเช่นกัน