ประธานบริษัท “เอเวอร์แกรนด์” ได้ส่งจดหมายหาพนักงานว่า ทางบริษัทมั่นใจว่าจะสามารถเดินทางออกจาก “ช่วงเวลาที่มืดมนที่สุด” นี้ได้ ท่ามกลางการจับตามองของทั่วโลกว่า บริษัทจะล้มละลายหรือไม่
วันที่ 21 กันยายน 2564 สำนักข่าวรอยเตอร์สรายงานว่า “ฮุย คา หยวน” ประธานบริษัทยักษ์อสังหาริมทรัพย์จีน “ไชน่า เอเวอร์แกรนด์” ได้ส่งจดหมายหาพนักงานว่า ทางบริษัทมั่นใจว่าจะสามารถเดินทางออกจาก “ช่วงเวลาที่มืดมนที่สุด” นี้ได้ รวมทั้งสามารถส่งมอบโปรเจกต์โครงการอสังหาฯ ได้ตามกำหนด ท่ามกลางการจับตามองของทั่วโลกว่า บริษัทจะล้มละลายหรือไม่
- เรือสิงคโปร์ชนสะพานในสหรัฐ มีประวัติไม่ดีมาก่อน เรารู้อะไรแล้วบ้างตอนนี้ ?
- สถิติหวย ตรวจหวย ผลสลากกินแบ่งรัฐบาล งวด 1 เมษายน ย้อนหลัง 10 ปี
- หุ้นกู้ออกใหม่ 12 บริษัทแห่ขายเดือน เม.ย.นี้ จ่ายดอกเบี้ยสูงสุด 7.40%
“ผมเชื่อว่า ด้วยความพยายามของทุกคน เอเวอร์แกรนด์จะสามารถเดินทางออกจากช่วงเวลาที่มืดมนที่สุดนี้ และสามารถกลับมาก่อสร้างตามปกติได้เร็วที่สุดได้ รวมทั้งทำในสิ่งที่ผู้ซื้ออสังหาริมทรัพย์ นักลงทุน พาร์ทเนอร์ และสถาบันการเงินต้องการได้” ฮุย กล่าวในจดหมาย อย่างไรก็ตาม ไม่ได้มีการระบุว่า ทางบริษัทจะบรรลุเป้าหมายดังกล่าวได้อย่างไร
ทั้งนี้ ถึงแม้ก่อนหน้านี้ ยักษ์อสังหาฯ เอเวอร์แกรนด์ เติบโตได้อย่างรวดเร็ว แต่ก็ประสบปัญหา หลังจากรัฐบาลจีนออกมาตรการใหม่เมื่อเดือนสิงหาคม 2020 เพื่อติดตามและควบคุมหนี้สินของบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่อย่างใกล้ชิด
โดยมาตรการที่เข้มงวดดังกล่าว จึงทำให้ “เอเวอร์แกรนด์” ซึ่งพึ่งพาเงินจากการขายล่วงหน้า แล้วนำมาหมุนธุรกิจต่าง ๆ ต้องเทขายโครงการ พร้อมส่วนลดที่สูงลิ่ว อย่างไรก็ตาม เงินก็ยังไม่พอสำหรับหนี้สินมูลค่ารวมกว่า 3 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ หลังจากหลายปีก่อนได้กู้เงินเพื่อสร้างการเติบโตอย่างรวดเร็ว
ส่วนในสัปดาห์นี้และสัปดาห์หน้า “เอเวอร์แกรนด์” มีกำหนดการที่จะต้องจ่ายคูปองพันธบัตรหรือดอกเบี้ยพันธบัตร คิดเป็นมูลค่า 85 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยกำหนดจ่ายวันที่ 23 ก.ย.นี้ และอีกกว่า 47 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งกำหนดจ่ายวันที่ 29 ก.ย.นี้ รวมทั้งในปีหน้าเอเวอร์แกรนด์มีหนี้ที่ต้องชำระอีกราว ๆ 7.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
โดยหากเอเวอร์แกรนด์มีการผิดนัดชำระหนี้ตามกำหนดการดังกล่าว จะกลายเป็นความเสี่ยงสำคัญที่จะสร้างความกังวลว่า เอเวอร์แกรนด์จะถึงคราวล้มละลายหรือไหม เนื่องจากไม่สามารถชำระหนี้ได้ตามกำหนด
นอกจากนี้ รายงานข่าวระบุว่า ผู้ที่จะได้รับผลกระทบจากบริษัท “เอเวอร์แกรนด์” ล้มละลาย ไม่ได้มีเพียงแค่ตัวบริษัทเอง แต่จะยังส่งผลกระทบไปยังทุกภาคส่วน ได้แก่ ธนาคาร ซัพพลายเยอร์ ผู้ที่ซื้อบ้าน รวมถึงนักลงทุนด้วย