หลังวิกฤตรัสเซีย-ยูเครน ทวีความรุนแรง ล่าสุดยูเครนประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินเป็นเวลา 30 วัน เริ่มตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป พร้อมเรียกพลเมืองออกจากรัสเซียทันที
วันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2565 แชนแนลนิวส์เอเชียรายงานว่า ยูเครนประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินแล้ว เมื่อวันพุธตามเวลาท้องถิ่น พร้อมกับแจ้งพลเมืองให้เดินทางออกจากรัสเซียทันที ขณะที่รัสเซียได้เริ่มอพยพเจ้าหน้าที่ออกจากสถานทูตในกรุงเคียฟของยูเครน นับเป็นสัญญาณร้ายล่าสุดสำหรับชาวยูเครน ที่กังวลว่ารัสเซียจะเปิดฉากโจมตีอย่างเต็มกำลัง
- ลูกแม่ค้าขายผัก-พ่อขับแท็กซี่ สู่เก้าอี้ “ปลัดพลังงาน” บทพิสูจน์ชีวิต “ดร.ประเสริฐ สินสุขประเสริฐ”
- เปิด 10 อันดับมหาวิทยาลัยรัฐ-ราชภัฏ-เอกชน ที่ได้รับความนิยมมากสุด
- นักท่องเที่ยวเข้าต่ำแสน หวั่นโลว์ซีซั่นทรุดหนัก ททท.ชี้กระทบสั้นยอดบุ๊กกิ้งแอร์ไลน์แน่น
การระดมยิงทวีความรุนแรงขึ้นบริเวณชายแดนทางตะวันออกของยูเครน รอยเตอร์รายงานข้อมูลจากแหล่งข่าวว่า ขบวนยุทโธปกรณ์ ซึ่งรวมถึงรถถัง 9 คัน ได้เคลื่อนตัวจากชายแดนรัสเซียไปยังเขตโดเนสตก์ ทางตะวันออกของยูเครน
แต่ยังไม่มีข้อบ่งชี้ที่ชัดเจนว่า ปูตินจะสั่งโจมจียูเครนด้วยกำลังทหารหลายหมื่นนายบริเวณชายแดนที่เขารวบรวมไว้หรือไม่ ขณะที่เจ้าหน้าที่กลาโหมสหรัฐฯกล่าวว่า กำลังทหารรัสเซียนั้น “พร้อมที่สุดเท่าที่จะพร้อมได้” สำหรับการโจมตี
“โวโลดีมีร์ เซเลนสกี” ประธานาธิบดียูเครน กล่าวว่า “การคาดการณ์ถึงก้าวต่อไปของรัสเซียและกลุ่มแบ่งแยกดินแดน รวมถึงการตัดสินใจของประธานาธิบดีรัสเซีย เป็นสิ่งที่ผมไม่สามารถพูดได้”
ความไม่แน่นอนและการคว่ำบาตรจากสหรัฐฯและพันธมิตร ที่กระทบผลประโยชน์ของรัสเซียมากขึ้น ทำให้ตลาดการเงินสั่นสะเทือน ตั้งแต่น้ำมัน และหุ้น ไปจนถึงข้าวสาลี
ค่าเงินรูเบิลของรัสเซียร่วงลงประมาณ 3% เนื่องจากสหภาพยุโรปขึ้นบัญชีดำนักการเมืองรัสเซีย พร้อมอายัดทรัพย์สินของพวกเขา และห้ามการเดินทาง
ทั้งนี้ การประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินเป็นเวลา 30 วัน ของยูเครน ได้รับการอนุมัติโดยรัฐสภา โดยเป็นการจำกัดเสรีภาพในการเคลื่อนย้ายของกองหนุนที่ถูกเกณฑ์มา การควบคุมสื่อ และการตรวจสอบเอกสารส่วนบุคคล ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันพฤหัสบดีเป็นต้นไป
อย่างไรก็ตาม ประกาศดังกล่าวไม่มีผลครอบคลุมเขตโดเนตสก์ และเขตลูฮันสก์ ในภูมิภาคดอนบาส ซึ่งเมื่อต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา ประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน ผู้นำรัสเซีย ประกาศรับรองสถานะการเป็นดินแดนอิสระ ในรูปแบบของ “สาธารณรัฐ” และได้ส่งกำลังทหารรัสเซียเข้าไปในพื้นที่ โดยให้เหตุผลว่าเพื่อ “รักษาสันติภาพ”