สงครามยืดเยื้อ รัสเซียยังไม่ยอมถอยทั้งที่โดนแซงก์ชั่นหลายระลอก ประธานาธิบดีไบเดนจึงเพิ่มระดับการตราหน้าปูติน ว่า ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ ชาวยูเครน
วันที่ 13 เมษายน 2565 สำนักข่าว เอพี รายงานว่า ประธานาธิบดี โจ ไบเดน ผู้นำสหรัฐอเมริกา ให้สัมภาษณ์ก่อนขึ้นเครื่องจากไอโอวากลับวอชิงตัน โจมตีกองทัพรัสเซีย และประธานาธิบดี วลาดิมีร์ ปูติน ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ ในศึกยูเครน
- เปิด 10 อันดับมหาวิทยาลัยรัฐ-ราชภัฏ-เอกชน ที่ได้รับความนิยมมากสุด
- โปรดเกล้าฯ พระราชทานยศ ข้าราชการในพระองค์ฝ่ายทหาร 3 ราย
- ดร.วิวัฒน์ กรมดิษฐ์ ผู้อยู่เบื้องหลัง “บ้านกรมดิษฐ์” บ้านสวนลอยฟ้า
“ใช่ ผมเรียกสิ่งนี้ว่า ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ เพราะมันชัดขึ้น ชัดขึ้นว่า ปูตินแค่พยายามจะล้างความคิดแม้กระทั่งการเป็นคนยูเครน” นายไบเดนกล่าว และว่า เหตุการณ์ปัจจุบันต่างจากเมื่อหลายสัปดาห์ก่อนหน้า หลักฐานมีเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ เกี่ยวกับสิ่งที่เลวร้ายและน่าสยดสยองที่รัสเซียกระทำต่อยูเครน“
เมื่อผู้สื่อข่าวถามถึงการลงโทษผู้นำรัสเซียในฐานความผิดดังกล่าว ไบเดนตอบว่า ขึ้นอยู่กับนักกฏหมายในระดับสากลที่จะเป็นผู้ตัดสินว่า การกระทำของกองทัพรัสเซียภายใต้คำสั่งของเครมลินนั้น เป็นการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์จริงตามที่เจ้าหน้าที่ยูเครนเปิดเผยหรือไม่ แต่สำหรับตนดูเหมือนจะเป็นเช่นนั้น
ด้านนายโวโลดิมีร์ เซเลนสกี ผู้นำยูเครน แสดงปฏิกิริยายินดีทันทีที่ผู้นำสหรัฐใช้คำดังกล่าวเรียกการบุกรุกของรัสเซียที่มีต่อยูเครน
“นี่เป็นถ้อยคำจริงจากผู้นำตัวจริง การเรียกสิ่งที่เกิดขึ้นโดยชี้ชัดชื่อแบบนี้เป็นเรื่องสำคัญสำหรับการยืนหยัดสู้กับความชั่วร้าย เราดีใจที่ได้รับความช่วยดหลือจากสหรัฐอเมริกามาถึงวันนี้ และเรายังต้องการอาวุธหนักมากขึ้นสำหรับป้องกันอาชญากรรมโหดร้ายของรัสเซีย” นายเซเลนสกี ทวีตข้อความ
สำหรับนายเซเลนสกี เป็นผู้นำคนแรกที่ใช้คำว่า ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ (genocide) กล่าวหารัสเซีย ระหว่างลงพื้นที่ดูซากความเสียหายในเมืองบูชา ใกล้กรุงเคียฟ
แต่การแถลงต่อที่ประชุมคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ เมื่อวันที่ 5 เม.ย. นายเซเลนสกีเปลี่ยนมาใช้คำว่า “ก่ออาชญากรรมสงครามอย่างโหดร้าย” ที่เทียบได้กับกองกำลังรัฐอิสลาม หรือไอเอส โดยไม่ได้เอ่ยคำว่า ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์
ขณะที่นายไบเดนไม่ได้ใช้คำว่า ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์มาก่อนเช่นกัน โดยโจมตีนายปูติน ว่า ก่ออาชญากรรมสงคราม กระทั่งครั้งนี้เปลี่ยนมาใช้คำว่า genocide เพื่อยกระดับความรุนแรงในการกล่าวโจมตีนายปูติน
หลายฝ่ายมองว่า สหรัฐอาจกำลังมุ่งเปิดประเด็นการลงโทษรัสเซียที่หนักขึ้น หรือ อาจเป็นการที่ผู้นำสหรัฐกำลังใช้ความรู้สึกส่วนตัวอยู่เหนือนโยบายของประเทศหรือไม่ แม้ว่าสิ่งที่ไบเดนกล่าวจะสอดคล้องกับความคิดเห็นของชาวอเมริกันในส่วนใหญ่ก็ตาม
ทั้งนี้ แม้การแสดงจุดยืนทั้ง “อาชญากรสงคราม” ก่อนหน้า และการยกระดับเป็นคำว่า “ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์” แม้จะไม่ได้มีผลในทางกฎหมายระหว่างประเทศ แต่ถือเป็นการแสดงจุดยืนของผู้นำสหรัฐ
ที่มาคำว่า genocide
การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ หรือ genocide (เจโนไซด์) ถูกมองว่าเป็นอาชญากรรมร้ายแรงที่สุดต่อมนุษยชาติ เพราะเป็นการกำจัดคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งให้หมดสิ้นไป ดังที่นาซีพยายามขจัดประชากรเชื้อสายยิวให้หมดสิ้นไปในช่วงทศวรษที่ 1940
ดร.ราฟาเอล เลมคิน นักกฎหมายชาวโปแลนด์เชื้อสาวยิว เป็นผู้บัญญัติคำว่า genocide โดยนำเอาคำภาษากรีก genos ซึ่งแปลว่าเชื้อชาติ หรือ เผ่าพันธุ์ มารวมกับคำภาษาละติน cide ซึ่งแปลว่า การฆ่า พร้อมผลักดันให้การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ถือเป็นอาชญากรรมอย่างหนึ่งตามกฎหมายระหว่างประเทศ
กระทั่งปี 1948 เกิดอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการป้องกันและการลงโทษอาชญากรรมการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ ขึ้น ซึ่งมีผลบังคับใช้เมื่อ ม.ค. 1951
มาตรา 2 ของอนุสัญญานี้ได้นิยามคำว่า ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ว่าหมายถึง “การกระทำใด ๆ ดังต่อไปนี้ซึ่งกระทำโดยเจตนาที่จะทำลายกลุ่มชนชาติ ชาติพันธุ์ เชื้อชาติ หรือกลุ่มศาสนา ทั้งหมดหรือบางส่วน“
ได้แก่ การสังหารสมาชิกของกลุ่มก่อให้เกิดอันตรายร้ายแรงต่อร่างกายหรือจิตใจต่อสมาชิกของกลุ่มจงใจทำลายสภาพชีวิตความเป็นอยู่ของกลุ่ม โดยมุ่งเป้าเพื่อทำลายล้างทางกายภาพทั้งหมดหรือบางส่วนกำหนดมาตรการเพื่อป้องกันการเกิดภายในกลุ่มบังคับโยกย้ายลูกของคนในกลุ่มไปยังอีกกลุ่มหนึ่ง
อนุสัญญาฉบับนี้ยังกำหนดหน้าที่ของรัฐที่ร่วมลงนามในอนุสัญญาว่าต้อง “ป้องกันและลงโทษ” การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์
อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญทางกฎหมายหลายคนระบุว่า การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์มีคำนิยามที่แคบมาก จนทำให้การสังหารหมู่แทบจะไม่เข้าเกณฑ์ที่บัญญัติเอาไว้เลย
อย่างไรถึงเรียกว่าฆ่าล้างเผ่าพันธุ์
บางคนระบุว่า มีการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียวในศตวรรษที่แล้ว นั่นคือเหตุการณ์ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวยิวของนาซี หรือ ฮอโลคอสต์ แต่บางคนชี้ว่า มีการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์เกิดขึ้นมาอย่างน้อย 3 ครั้ง หากยึดตามคำนิยามของอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ ในปี 1948 ได้แก่
– การสังหารหมู่ชาวอาร์เมเนียโดยชาวเติร์กในจักรวรรดิออตโตมันที่ตุรกี ระหว่างปี 1915-1920 ซึ่งเป็นข้อกล่าวหาที่ชาวเติร์กปฏิเสธ
– การสังหารหมู่ชาวยิวโดยนาซี ซึ่งมีผู้เสียชีวิตไปกว่า 6 ล้านคน
– การสังหารหมู่ในรวันดา ปี 1994 กลุ่มหัวรุนแรงเชื้อสายฮูตู มุ่งเป้าฆ่าล้างชาวทุตซี ชนกลุ่มน้อยในประเทศ รวมถึงศัตรูทางการเมืองโดยไม่สนใจว่าคนเหล่านั้นจะมีชาติพันธุ์อะไร จนสังหารผู้คนไปราว 800,000 ราย ภายในเวลา 100 วัน
- ผู้นำยูเครนฟ้องยูเอ็น รัสเซียโหดสุดเทียบได้กับไอเอส แต่ไม่เอ่ย ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์
- ปูติน ยันตัดสินใจถูก บุกยูเครนเท่ากับป้องรัสเซีย – พื้นที่พิพาทส่อปะทะใหญ่เร็วๆ นี้