ภาพสะเทือนขวัญที่มีศพเกลื่อนตามท้องถนนเมืองบูชา ใกล้กรุงเคียฟ ทำให้ผู้นำยูเครนกล่าวหาและประณามรัสเซียว่าฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ ชาวยูเครน แต่ต่อมาไม่เอ่ยถึงคำนี้อีกในที่ประชุมยูเอ็น
วันที่ 5 เมษายน 2565 ประธานาธิบดี โวโลดิมีร์ เซเลนสกี แถลงต่อที่ประชุมคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ ยืนยันข้อกล่าวหาว่ากองทัพรัสเซียก่ออาชญากรรมสงคราม อย่างโหดร้าย เทียบได้กับกองกำลังรัฐอิสลาม หรือไอเอส
- รู้ไหม ? 31 มณฑลจีน ชอบสินค้าอะไรของไทย
- ทำฟันประกันสังคม ไม่ต้องสำรองจ่าย เดือน มี.ค. 67 ยอด 169 ล้านบาท
- ด่วน ! วอยซ์ ทีวี ประกาศปิดกิจการทุกแพลตฟอร์ม เลิกจ้าง 100 กว่าคน
แต่เป็นที่สังเกตว่าครั้งนี้ผู้นำยูเครนไม่ได้ใช้คำว่า ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ (genocide) ตามที่เคยกล่าวระหว่างลงพื้นที่ดูซากความเสียหายในเมืองบูชา ใกล้กรุงเคียฟ
สำนักข่าว เอพี รายงานว่า นายเซเลนสกีซึ่งลงพื้นที่สำรวจสภาพเมืองบูชา กล่าวผ่านระบบวิดีโอคอนเฟอเรนซ์มายังห้องประชุมยูเอ็นเรียกร้องให้นานาประเทศลงโทษต่อรัสเซียให้หนักกว่าเดิม และกดดันขั้นสุด พร้อมนำตัวผู้เกี่ยวข้องมาดำเนินคดีเหมือนกับการดำเนินคดีนูเรมเบิร์ก (เนิร์นแบร์ก) หลังสงครามโลกครั้งที่สอง
“พวกเขาตัดแขนขา ตัดคอ ผู้หญิงถูกข่มขืนและฆ่าต่อหน้าลูกๆ ของเธอ ผู้คนถูกควักลิ้น เพราะคนโหดไม่ต้องการได้ยินสิ่งที่ได้ยินจากผู้คน” เซเลนสกี กล่าวและว่า ชาวยูเครนถูกทรมาน ถูกปาระเบิดใส่ ถูกรถถังพุ่งชนขณะอยู่ในรถยนต์
ยูเครนพบศพพลเรือนตามถนนหนทางในเมืองบูชา หลังจากรัสเซียถอนทหารออกไปแล้ว สภาพศพบ่งบอกว่าผู้ตายถูกทารุณ หรือถูกสังหารขณะมือถูกมัดไพล่หลัง ซึ่งเซเลนสกีบอกกับที่ประชุมยูเอ็นว่า บูชาเป็นเพียงสถานที่หนึ่ง ยังมีอีกหลายๆ ที่สยองขวัญแบบเดียวกันนี้
ภาพข่าวสะเทือนขวัญดังกล่าวเรียกเสียงประณามรัสเซียจากชาติตะวันตกอย่างกว้างขวาง ขณะที่รัสเซียปฏิเสธว่าไม่ได้ทำร้ายพลเรือน และว่าการเสียชีวิตเหล่านี้เกิดหลังจากรัสเซียถอนทหารออกไปแล้ว แต่ภาพจากดาวเทียม Maxar Technologies ของสหรัฐเผยว่า มีศพกองอยู่บางจุดตั้งแต่กลางเดือนมีนาคม ก่อนที่รัสเซียถอนทหารออกไป
ส่วนประธานาธิบดีโจ ไบเดน ผู้นำสหรัฐอเมริกา กล่าวว่า ควรดำเนินคดีกับประธานาธิบดี วลาดิมีร์ ปูติน ผู้นำรัสเซียในข้อหาก่ออาชญากรรมสงคราม แต่ไม่ได้เรียกเหตุการณ์นี้ว่า ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ และน่าสังเกตว่า ต่อมาผู้นำยูเครนไม่ได้เอ่ยคำนี้ ระหว่างกล่าวต่อที่ประชุมความมั่นคงของยูเอ็น
การตีความ ‘ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์’
บีบีซีไทย รายงานว่า การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ หรือ genocide (เจโนไซด์) ถูกมองว่าเป็นอาชญากรรมร้ายแรงที่สุดต่อมนุษยชาติ เพราะเป็นการกำจัดคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งให้หมดสิ้นไป ดังที่นาซีพยายามขจัดประชากรเชื้อสายยิวให้หมดสิ้นไปในช่วงทศวรษที่ 1940
อย่างไรก็ตามคำๆ นี้มีความซับซ้อนในเชิงกฎหมายที่กำหนดให้ต้องมีหลักเกณฑ์ต่าง ๆ
การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ เป็นคำที่กำหนดขึ้นในปี 1943 โดย ดร.ราฟาเอล เลมคิน นักกฎหมายชาวโปแลนด์เชื้อสาวยิว ที่นำเอาคำภาษากรีก genos ซึ่งแปลว่าเชื้อชาติ หรือ เผ่าพันธุ์ มารวมกับคำภาษาละติน cide ซึ่งแปลว่า การฆ่า
หลังจากได้เห็นความโหดร้ายของ “ฮอโลคอสต์” หรือเหตุการณ์ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวยิว ซึ่งสมาชิกในครอบครัวของเขาทุกคน ยกเว้นพี่น้องผู้ชายของเขา ต่างถูกสังหารด้วยน้ำมือนาซี ดร. เลมคิน จึงพยายามผลักดันให้การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ถือเป็นอาชญากรรมอย่างหนึ่งตามกฎหมายระหว่างประเทศ
ความพยายามของ ดร.เลมคิน บรรลุผล เมื่อเกิดอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการป้องกันและการลงโทษอาชญากรรมการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ ขึ้นเมื่อ ธ.ค. 1948 ซึ่งมีผลบังคับใช้เมื่อ ม.ค. 1951
มาตรา 2 ของอนุสัญญานี้ได้นิยามคำว่า ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ว่าหมายถึง “การกระทำใด ๆ ดังต่อไปนี้ซึ่งกระทำโดยเจตนาที่จะทำลายกลุ่มชนชาติ ชาติพันธุ์ เชื้อชาติ หรือกลุ่มศาสนา ทั้งหมดหรือบางส่วน”
ได้แก่ การสังหารสมาชิกของกลุ่มก่อให้เกิดอันตรายร้ายแรงต่อร่างกายหรือจิตใจต่อสมาชิกของกลุ่มจงใจทำลายสภาพชีวิตความเป็นอยู่ของกลุ่ม โดยมุ่งเป้าเพื่อทำลายล้างทางกายภาพทั้งหมดหรือบางส่วนกำหนดมาตรการเพื่อป้องกันการเกิดภายในกลุ่มบังคับโยกย้ายลูกของคนในกลุ่มไปยังอีกกลุ่มหนึ่ง
อนุสัญญาฉบับนี้ยังกำหนดหน้าที่ของรัฐที่ร่วมลงนามในอนุสัญญาว่าต้อง “ป้องกันและลงโทษ” การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์
มีเพียง3เหตุการณ์เรียก ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์
นับตั้งแต่มีการใช้อนุสัญญาฉบับนี้ ก็มีเสียงวิจารณ์จากหลายฝ่าย ส่วนใหญ่เป็นผู้ไม่พอใจกับความยากลำบากในการบังคับใช้กับกรณีต่าง ๆ โดยบางคนระบุว่า มีคำนิยามที่แคบเกินไป ขณะที่คนอื่นระบุว่ามันได้ถูกลดทอนคุณค่าลงจากการนำไปใช้อย่างพร่ำเพรื่อจนเกินไป
นักวิเคราะห์บางคนระบุว่า การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์มีคำนิยามที่แคบมาก จนทำให้การสังหารหมู่แทบจะไม่เข้าเกณฑ์ที่บัญญัติเอาไว้เลย
บางคนระบุว่า มีการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียวในศตวรรษที่แล้ว นั่นคือเหตุการณ์ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวยิวของนาซี หรือ ฮอโลคอสต์ แต่บางคนชี้ว่า มีการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์เกิดขึ้นมาอย่างน้อย 3 ครั้ง หากยึดตามคำนิยามของอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ ในปี 1948 ได้แก่
– การสังหารหมู่ชาวอาร์เมเนียโดยชาวเติร์กในจักรวรรดิออตโตมันที่ตุรกี ระหว่างปี 1915-1920 ซึ่งเป็นข้อกล่าวหาที่ชาวเติร์กปฏิเสธ
– การสังหารหมู่ชาวยิวโดยนาซี ซึ่งมีผู้เสียชีวิตไปกว่า 6 ล้านคน
– การสังหารหมู่ในรวันดา ปี 1994 กลุ่มหัวรุนแรงเชื้อสายฮูตู มุ่งเป้าฆ่าล้างชาวทุตซี ชนกลุ่มน้อยในประเทศ รวมถึงศัตรูทางการเมืองโดยไม่สนใจว่าคนเหล่านั้นจะมีชาติพันธุ์อะไร จนสังหารผู้คนไปราว 800,000 ราย ภายในเวลา 100 วัน
สังหารหมู่เข้าข่ายฆ่าล้างเผ่าพันธุ์
ช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา บางคนได้จัดให้เหตุสังหารหมู่บางแห่งเข้าข่ายการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ เช่น
– ปี 1995 การสังหารหมู่ที่เมืองซเรบเบรนิตซา ประเทศบอสเนีย ทางศาลอาญาระหว่างประเทศสำหรับอดีตยูโกสลาเวีย วินิจฉัยว่าเป็นการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์
– ปี 2016 สหรัฐกล่าวหากลุ่มรัฐอิสลาม หรือไอเอส ว่าฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชนกลุ่มน้อยชาวคริสต์ ชาวยาซิดี และชาวนิกายชีอะห์ในอิรักและซีเรีย
– ปี 2017 แกมเบียยื่นฟ้องเมียนมาในข้อหาฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชนกลุ่มน้อยชาวมุสลิมโรฮิงญา ที่ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (International Court of Justice หรือ ICJ) โดยกล่าวหาว่า กองทัพเมียนมาปฏิบัติการ “กวาดล้างอย่างแพร่หลายและเป็นระบบ” ตามหมู่บ้านของชาวโรฮิงญา
– ปี 2021 รัฐบาลสหรัฐ แคนาดา และเนเธอร์แลนด์ กล่าวหาจีนอย่างเป็นทางการว่า ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชนกลุ่มน้อยชาวมุสลิมอุยกูร์ ในเขตปกครองตนเองซินเจียง ระบุถึงหลักฐานที่พบบ่งชี้ว่าจีนใช้มาตรการต่าง ๆ เพื่อกวาดล้างชาวอุยกูร์ เช่น การบังคับทำหมัน การบังคับใช้แรงงาน การคุมขังหมู่ รวมถึงการข่มขืนและทรมานอย่างเป็นระบบ ซึ่งเป็นข้อกล่าวหาที่เข้าข่ายการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ แต่จีนปฏิเสธข้อกล่าวหาเหล่านี้อย่างสิ้นเชิง
การดำเนินคดีฆ่าล้างเผ่าพันธุ์
– คดีรวันดา กรณีแรกที่มีการใช้อนุสัญญาว่าด้วยการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ คือการดำเนินคดีต่อนายฌอง พอล อคาเยซู นายกเทศมนตรีเชื้อสายฮูตู ของเมืองทาบา
ศาลอาญาระหว่างประเทศสำหรับรวันดาพิพากษาให้นายอคาเยซูมีความผิดฐานฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ และก่ออาชญากรรมต่อมนุษยชาติ เมื่อวันที่ 2 ก.ย. 1998
ศาลอาญาระหว่างประเทศยังตัดสินให้บุคคลอีกกว่า 85 รายมีความผิดฐานฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในรวันดา
– คดีบอสเนีย
ปี 2001 พลเอก ราดิสลาฟ เคิร์สติตช์ อดีตนายพลชาวบอสเนียเชื้อสายเซิร์บ กลายเป็นบุคคลแรกที่ถูกตัดสินให้มีความผิดฐานฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ที่ศาลอาญาระหว่างประเทศสำหรับอดีตยูโกสลาเวีย
ปี 2007 นายรัตโก มลาดิช อดีตผู้บัญชาการทหารบอสเนียเชื้อสายเซิร์บ ซึ่งได้รับการขนานนามว่า “นักฆ่าแห่งบอสเนีย” ถูกตัดสินให้จำคุกตลอดชีวิตหลังศาลพิพากษาว่าเขามีความผิดฐานฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ และก่ออาชญากรรมต่อมนุษยชาติ
– คดีเขมรแดง
ปี 2018 นายนวน เจีย วัย 92 ปี และนายเขียว สัมพัน วัย 87 ปี สองผู้นำเขมรแดง ถูกตัดสินจำคุกตลอดชีวิตฐานฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ และก่ออาชญากรรมต่อมนุษยชาติ จากการมีบทบาทในเหตุสังหารหมู่ชาวกัมพูชาของเขมรแดง