ลี เซียนลุง วางตัวว่าที่นายกรัฐมนตรีสิงคโปร์คนใหม่

ลี เซียนลุง วางตัวว่าที่นายกรัฐมนตรีสิงคโปร์คนใหม่
Credit: Singapore SEA Games Organising Committee / Action Images via Reuters/File Photo

“ลี เซียนลุง” นายกรัฐมนตรีสิงคโปร์ ปูทางให้ “ลอว์เรนซ์ หว่อง” รัฐมนตรีคลัง อายุ 49 ปี เป็นผู้สืบทอดตำแหน่งต่อจากเขา 

วันที่ 16 เมษายน 2565 รอยเตอร์สรายงานว่า “ลี เซียนลุง” นายกรัฐมนตรีสิงคโปร์ กล่าวว่า “ลอว์เรนซ์ หว่อง” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง จะเป็นผู้รับตำแหน่งต่อจากเขา

หว่อง ได้รับเลือกเป็นผู้นำทีมรุ่นที่ 4 ของพรรคกิจประชาชน (PAP) ซึ่งเป็นการปูทางให้เขาก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรี

ลีโพสต์บนโซเชียลมีเดียว่า “แผนสำหรับลอว์เรนซ์คือให้เขารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีแทนผม ไม่ว่าจะก่อนหรือหลัง (หาก PAP ชนะ) ในการเลือกตั้งทั่วไปครั้งหน้า ซึ่งมีกำหนดจัดขึ้นในปี 2568 และจะเป็นการต่อสู้ที่ยากลำบากอย่างแน่นอน”

ลี ซึ่งเป็นลูกชายของ “ลี กวนยู” นายกรัฐมนตรีคนแรกของสิงคโปร์ ขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเช่นเดียวกับบิดาของเขาตั้งแต่ปี 2547 เขามีส่วนสำคัญที่ทำให้สิงคโปร์กลายเป็นประเทศที่มั่งคั่งและมีเสถียรภาพ สามารถดึงดูดนักลงทุนและนักธุรกิจในภูมิภาค ที่เผชิญความวุ่นวายทางการเมืองบ่อยครั้ง

หว่อง อายุ 49 ปี เป็นผู้นำทางให้สิงคโปร์ผ่านการระบาดของโควิด-19 ในฐานะประธานร่วมของคณะทำงานเฉพาะกิจรับมือโควิด-19 เขาถูกจับตาจากนักวิเคราะห์ในฐานะผู้ที่จะสืบทอดตำแหน่งต่อจากลีวัย 70 ปี

การสืบทอดตำแหน่งผู้นำสิงคโปร์ ซึ่งปกครองโดยพรรค PAP ตั้งแต่เป็นเอกราชเมื่อปี 2508 เป็นเรื่องปกติที่มีการวางแผนอย่างรอบคอบ

เมื่อปีที่แล้ว รองนายกรัฐมนตรีเฮง สวีคีต ตัดสินใจถอนตัวจากการเป็นว่าที่ผู้นำคนต่อไป ทำให้แผนการสืบทอดผู้นำของสิงคโปร์ต้องสะดุด

“ผมอายุ 70 แล้ว และผมรอคอยที่จะส่งมอบตำแหน่งนี้ให้กับลอว์เรนซ์เมื่อเขาพร้อม” ลีกล่าวในการแถลงข่าว พร้อมระบุว่า พวกเขาจะตัดสินใจในภายหลังว่าเขาหรือหว่องที่จะเป็นผู้นำพรรคสู้ศึกเลือกตั้งทั่วไปครั้งถัดไป

จากมาตรการจำกัดการเดินทางและกฎระเบียบที่เข้มงวด ทำให้สิงคโปร์ประสบความสำเร็จในการควบคุมโรคระบาดใหญ่ และสิงคโปร์กำลังพยายามรักษาและสร้างสถานะให้ตัวเองเป็นศูนย์กลางการค้าระหว่างประเทศ

“การระบาดยังไม่จบ เราต้องผ่านมันไปให้ได้” หว่องกล่าว เมื่อถูกถามเกี่ยวกับปัญหาใหญ่ที่ประเทศกำลังเผชิญ

เขากล่าวด้วยว่า มีความท้าทายทางเศรษฐกิจมากมายที่ต้องจัดการ หลังเกิดสงครามในยูเครน เช่น ภัยคุกคามจากเงินเฟ้อที่สูงขึ้นเรื่อย ๆ และการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่อ่อนแอลง

เขากล่าวว่า สิงคโปร์ยังต้องพยายามหาตำแหน่งให้ตัวเองอยู่ในโลกที่ซับซ้อน ผันผวน และคาดเดาไม่ได้ มากขึ้น