ดร.นิเวศน์ วิเคราะห์ผลกระทบตลาดหุ้นในยุคสงครามเย็นรอบ 2

ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

ดร.นิเวศน์ กูรูนักลงทุนวีไอ วิเคราะห์ผลกระทบตลาดหุ้นในยุคสงครามเย็นรอบ 2 ระหว่างมหาอำนาจ “สหรัฐ-จีน” เหตุการณ์บ่งชี้เริ่มต้นเป็นเรื่อง “รัสเซียบุกยูเครน” ชี้วัด “โลกเสรี-เผด็จการคอมมิวนิสต์” ใครจะเป็นฝ่ายชนะ เพราะกระทบตลาดหุ้นประเทศเครือข่ายสองฝ่ายที่จะเข้าไปลงทุน กรณีของไทยรอบนี้ได้แต่หวังว่า “จะเลือกข้างถูก”

วันที่ 4 กันยายน 2565 ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร นักลงทุนเน้นคุณค่า (Value Investor) สมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า (ประเทศไทย) เปิดเผยว่า “สงครามเย็น” ระหว่างมหาอำนาจเกิดขึ้นแทบจะทันทีหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ในปี 1945 มันเป็น “การต่อสู้เพื่อแย่งชิงความเป็นใหญ่” ระหว่างโซเวียตรัสเซียกับสหรัฐอเมริกา โดยที่ฝ่ายรัสเซียนั้นมีอุดมการณ์ทางการเมืองแบบสังคมนิยมคอมมิวนิสต์ที่เน้นการควบคุมโดยรัฐ และอเมริกามีอุดมการณ์ทางด้านทุนนิยมและกลไกของตลาดเสรีทางด้านเศรษฐกิจ

การต่อสู้หรือสงครามเย็นนั้น สหรัฐและรัสเซียไม่ได้รบหรือทำสงครามกันโดยตรง เพราะถ้าทำแบบนั้นก็อาจจะเกิดสงครามนิวเคลียร์ที่สามารถทำลายโลกได้ ในช่วงสงครามเย็นจะเป็นการรบโดยใช้ “ตัวแทน” ซึ่งก็จะเป็น “ประเทศในเครือข่าย” ที่เป็นพวกพ้องของตนเข้าไปรบแทน โดยที่อเมริกาหรือโซเวียตรัสเซียก็จะส่งอาวุธสนับสนุนฝ่ายของตน ในหลาย ๆ ครั้งก็อาจจะเข้าไปรบเองด้วย ถ้าเห็นว่าฝ่ายของตนกำลังจะพ่ายแพ้

ในยุคสงครามเย็นยังพบว่ามี “การแข่งขัน” ระหว่างมหาอำนาจในแทบทุกด้านตั้งแต่ด้านอุดมการณ์ทางการเมืองที่พยายามเผยแพร่ว่าของตนเองดีกว่า แข่งขันทางด้านเทคโนโลยีว่าใครจะก้าวหน้ากว่ากัน และทางเศรษฐกิจว่าใครโตเร็วและใหญ่กว่ากัน ทั้งหมดนั้นเป้าหมายที่สำคัญมากส่วนหนึ่งก็คือ ต้องการหาพวกให้มากที่สุด เพราะทั้งสองฝ่ายต่างก็รู้ว่า การมีพวกมากนั้นได้เปรียบและจะเป็นฝ่าย “ชนะ” ในที่สุด เพราะสงครามโลกครั้งที่ 2 นั้น เป็นบทเรียนให้รู้ว่า คนที่มีพันธมิตรมากนั้น ยังไงก็ชนะเพราะมีทรัพยากรในการต่อสู้ได้ไม่จำกัด

สงครามเย็น-ครั้งนั้น จบลงในปี 1991 พร้อมกับการล่มสลายของสหภาพโซเวียต ชัยชนะของสหรัฐทำให้อเมริกากลายเป็นอภิมหาอำนาจเพียงรายเดียวและไม่มีประเทศไหนจะท้าทายได้ และโลกก็เปลี่ยนไปเป็นยุคของ “Globalization” คือเน้นไปที่การค้าขายและการพัฒนาทางเศรษฐกิจและเทคโนโลยี โดยเฉพาะที่ไม่เกี่ยวกับการสงครามอย่างที่เคยเป็น

โดยที่จีนซึ่งเคยเป็น “เครือข่ายของฝ่ายโซเวียต” เพราะมีระบอบการปกครองแบบคอมมิวนิสต์ ก็มีการปรับตัวหันมาใช้ระบอบทุนนิยมตลาดเสรี เริ่มโดยเติ้งเสี่ยวผิง ซึ่งสามารถพัฒนาประเทศก้าวหน้าขึ้นอย่างรวดเร็วทั้งทางด้านเศรษฐกิจและเทคโนโลยีจนถึงปัจจุบันเป็นเวลาประมาณ 30 ปี ที่สามารถ “ท้าทาย” อเมริกาได้ทุกด้านเช่นเดียวกับโซเวียตรัสเซียในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 และต่อเนื่องถึงประมาณปี 1960 ที่สามารถพัฒนาประเทศจนเกือบ “ตามทัน” สหรัฐในทุกด้านทั้งทางเศรษฐกิจ เทคโนโลยี และทางทหาร

Advertisment

และดังนั้น “การต่อสู้เพื่อความเป็นใหญ่” จึงดูเหมือนว่ากำลังจะเกิดขึ้นในโลกอีกครั้งหนึ่ง คราวนี้เป็นจีนกับสหรัฐโดยที่รัสเซียกลายเป็น “ประเทศเครือข่าย” ของฝ่ายจีน และในครั้งนี้ “อุดมการณ์” ที่ใช้ในการชักชวนให้ประเทศอื่นเข้าเป็นพวกดูเหมือนจะเปลี่ยนแปลงไปและไม่ใช่คอมมิวนิสต์ที่ล่มสลายไปแล้ว แต่เป็นเรื่องของ “ความเป็นประชาธิปไตย” กับความเป็น “เผด็จการ” ที่แบ่งค่ายของแต่ละฝั่ง และครั้งนี้ก็เช่นเดียวกับสงครามเย็น “ครั้งแรก” ประเทศทั้งหลายต่างก็แทบจะถูกบังคับให้เลือกว่าจะอยู่ฝั่งไหน

การ “เป็นกลาง” นั้น ไม่ใช่เรื่องง่าย และทั้งหมดนั้นก็นำมาสู่เรื่องของการลงทุนโดยเฉพาะในตลาดหุ้นซึ่งกลายเป็น Globalization ไปก่อนแล้วว่า เราจะทำอย่างไรถ้า “สงครามเย็น” รอบนี้ดำเนินไปต่อเนื่องยาวนานแบบครั้งก่อน เฉพาะอย่างยิ่ง ตลาดหุ้นทั่วโลกและในแต่ละประเทศจะเป็นอย่างไร?

Advertisment

มองจากประวัติศาสตร์โดยเฉพาะตลาดหุ้นอเมริกาหรือดัชนีดาวโจนส์ที่มีสถิติต่อเนื่องมานานเป็นศตวรรษ ผมจะแบ่งเป็นช่วงหรือยุคโดยอิงกับเรื่องของสงครามทั้งสงครามร้อนและเย็น เริ่มแรกก็คือ ดัชนีดาวโจนส์หลังสงครามโลกในปี 1945 มาจนถึงประมาณปี 1960 หรือประมาณ 15-16 ปี เป็นช่วงของการ “ฟื้นตัว” จากสงคราม

ดัชนีดาวโจนส์ปรับตัวขึ้นจาก 195 จุดในเดือนธันวาคม 1945 เป็น 721 จุดในเดือน สิงหาคม 1961 ทั้ง ๆ ที่เกิดสงครามเย็นมาตลอด หรือคิดแล้วดัชนีดาวโจนส์ให้ผลตอบแทนแบบทบต้นถึงปีละ 8.5% ซึ่งถ้ารวมปันผลก็อาจจะประมาณปีละ 10% ซึ่งถือว่าดีมากสอดคล้องกับการเจริญเติบโตที่ดีเยี่ยมของเศรษฐกิจอเมริกาในช่วงนั้น

ยุคของสงครามเย็นจริง ๆ นั้น ผมกำหนดให้เริ่มต้นในปี 1961 จนถึง 1991 เป็นเวลาประมาณ 30 ปี โดยที่จุดเริ่มต้นนั้นตรงกับช่วงที่อเมริกากับโซเวียตต่อสู้หรือแข่งขันกัน “รุนแรงที่สุด” ในด้านของสงครามนั้น อเมริกาหนุนกลุ่มชาวคิวบาพลัดถิ่นกลับประเทศเพื่อล้มล้างฟิเดลคัสโตร ซึ่งประกาศเป็นฝ่ายรัสเซียและเป็นคอมมิวนิสต์ที่อยู่หน้าบ้านอเมริกาแต่ก็พ่ายแพ้

ปีต่อมาโซเวียตก็ขนจรวดติดหัวรบปรมาณูเตรียมมาตั้งที่คิวบา ซึ่งทำให้เกิดวิกฤตปรมาณูที่ร้ายแรงที่สุดในประวัติศาสตร์เพราะอเมริกายื่นคำขาดว่าถ้าไม่ถอยก็เกิดสงคราม ซึ่งทำให้รัสเซียถอยกลับไป

ในด้านของเทคโนโลยีเองนั้น ระดับการพัฒนาของโซเวียตในปี 1961 ดูเหมือนว่าจะใกล้เคียงกับสหรัฐมาก นอกเหนือจากระเบิดนิวเคลียร์ซึ่งรัสเซียสามารถผลิตได้หลังอเมริกาเพียงไม่กี่ปีแล้ว ในด้านของการ “พิชิตอวกาศ” โซเวียตกลับเป็นฝ่ายนำ สามารถส่งจรวดสปุตนิกสู่วงโคจรโลกได้ก่อนอเมริกาเช่นเดียวกับการส่งยูริ กาการิน ขึ้นไปสู่อวกาศเป็นคนแรกในปี 1961 แม้ว่าสหรัฐจะสามารถส่งอาลัน เชพเพิร์ดตามมาในเวลาไม่ถึงเดือน ส่วนในด้านของเศรษฐกิจเองนั้น โซเวียตมีขนาดเศรษฐกิจเป็นอันดับสองและรองจากอเมริกาไม่มาก

ยุคของสงครามเย็นยังเกิดเหตุการณ์มากมายรวมถึงสงครามเวียดนามที่อเมริกาต้องเข้าไปรบเต็มตัวร่วมกันฝ่ายเวียดนามใต้ต่อสู้กับเวียดนามเหนือที่มีโซเวียตและจีนสนับสนุนอย่างเต็มกำลัง สงครามเวียดนามก่อให้เกิดปัญหาเศรษฐกิจและเงินเฟ้อรุนแรงส่งผลกระทบกับตลาดหุ้นรุนแรงเป็นวิกฤตในช่วงปี 1973-1974

ประเทศไทยเองก็กลายเป็น “มหามิตร” ของสหรัฐ มีการประกาศ “ปฏิญญากรุงเทพ” ในปี 1967 เพื่อต่อสู้กับภัยคุกคามของคอมมิวนิสต์ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งต่อมาได้กลายเป็นสนธิสัญญาที่ก่อให้เกิด “ASEAN”

ดัชนีดาวโจนส์ในช่วง 30 ปี ของยุคสงครามเย็นมีการปรับตัวขึ้นอย่างกระท่อนกระแท่นเพราะปัญหาต่าง ๆ มากมายอานิสงส์จากสงครามเย็น จาก 721 จุด ในปี 1961 เพิ่มขึ้นเป็น 3,102 จุด ในปี 1991 ที่สงครามเย็นสงบ หรือเพิ่มขึ้นเพียง 5% ต่อปีแบบทบต้นในช่วงเวลา 30 ปี ซึ่งก็เห็นได้ชัดว่าสงครามเย็นนั้นน่าจะเป็นสิ่งที่เลวร้ายมากสำหรับตลาดหุ้นในระยะยาว

และสิ่งที่ช่วยยืนยันก็คือ หลังจากสงครามเย็นจบลงและโลกต่างก็มุ่งหน้าค้าขายโดยมีการ “พัฒนาประชาธิปไตย” และการ “เปิดเสรี” ทางด้านเศรษฐกิจทั่วโลก ดัชนีดาวโจนส์ในช่วง 30 ปีต่อมาจากปี 1991 ถึงสิ้นปี 2021 เพิ่มขึ้นจาก 3,102 จุดเป็น 36,585 จุด หรือเป็นการเพิ่มขึ้นปีละ 8.57% แบบทบต้นและแทบจะเท่ากับช่วงการฟื้นตัวหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 และนี่ก็เป็นการยืนยันอีกครั้งหนึ่งว่า ผลตอบแทนจากการลงทุนในตลาดหุ้นอเมริการะยะยาวในภาวะปกตินั้นอยู่ที่ประมาณ ปีละ 10% แบบทบต้น

ประเด็นสำคัญที่จะต้องตระหนักก็คือ นี่คือช่วงเวลาของการเริ่มต้นสงครามเย็นรอบใหม่ที่จะดำเนินต่อไปยาวนานหรือไม่? และถ้าใช่ ผลกระทบกับตลาดหุ้นจะเหมือนเดิมไหม?

ถ้าดูเฉพาะเหตุการณ์ในช่วงสั้น ๆ ที่ผ่านมาก็ดูเหมือนว่ามันกำลังซ้ำรอยสงครามเย็นรอบแรก โดยที่อเมริกากับโซเวียตมีอุดมการณ์ที่แตกต่างกันไปคนละขั้ว คือประชาธิปไตยกับเผด็จการคอมมิวนิสต์ ซึ่งก็เหมือนกับสหรัฐกับจีนเช่นเดียวกัน พลังอำนาจและศักยภาพทางเศรษฐกิจระหว่างอเมริกากับโซเวียตในช่วงเริ่มต้นสงครามเย็นใกล้เคียงกันมาก โดยที่โซเวียตไล่กวดสหรัฐมาอย่างรวดเร็วหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เช่นเดียวกับจีนที่ไล่กวดอเมริกาอย่างรวดเร็วอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นเลยในประวัติศาสตร์และภายในไม่กี่ปีก็จะทัน

ในด้านของเทคโนโลยีเองนั้น สหรัฐกับโซเวียตแทบจะเสมอกันในช่วงเริ่มต้นสงครามเย็น บางด้านอเมริกาก็นำ บางด้านโซเวียตก็นำโดยเฉพาะในด้านที่เกี่ยวกับการทำสงคราม เช่นเดียวกับจีนที่ปัจจุบันมีเทคโนโลยีบางอย่างที่นำอเมริกาไปแล้ว แม้ว่าอีกกว่าครึ่งอาจจะตามอยู่ ดังนั้น นี่ก็อาจจะเป็นสิ่งที่ทำให้สงครามเย็นเกิดขึ้นได้

และว่าที่จริง เหตุการณ์ในช่วงเร็ว ๆ นี้ก็บ่งชี้ว่าทั้งสองฝ่ายกำลังทำอยู่ โดยจุดเริ่มต้นอาจจะเป็นเรื่องรัสเซียบุกยูเครนโดยที่จีนสนับสนุน ในขณะที่อเมริกาและพรรคพวกโดยเฉพาะนาโต้ก็สนับสนุนยูเครนเต็มที่ ต่อมาก็เกิดเหตุการณ์ไต้หวันกับจีน ซึ่งทั้งสองเรื่องก็ตามมาด้วยการแซงชั่นต่าง ๆ ทั้งจากฝ่ายอเมริกาและจีนซึ่งในที่สุดก็อาจจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและการลงทุนในตลาดหุ้นได้

สุดท้ายก็คือ ประเทศเครือข่ายของแต่ละฝ่ายที่ถ้าหากสงครามเย็นดำเนินต่อไป ก็จะกระทบโดยเฉพาะต่อตลาดหุ้นที่เราจะเข้าไปลงทุน ในสงครามเย็นรอบแรกนั้นชัดเจนว่าเครือข่ายของฝ่าย “โลกเสรี” ซึ่งเป็นฝ่ายชนะนั้น ได้ประโยชน์ไปเต็ม ๆ อาทิ เกาหลี, ไต้หวัน, สิงคโปร์, ฮ่องกง และไทย ที่มีการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจที่ดีมาก รอบนี้เราคงจะต้องดูกันต่อไป ผมก็ได้แต่หวังว่าในกรณีของไทยเราจะเลือกข้างถูก