Tech Times : ความดังเป็นเหตุ ?

TikTok
คอลัมน์ : Tech Times
ผู้เขียน : มัชฌิมา จันทร์สว่างภูวนะ

แม้กระแสการแบน TikTok ในอเมริกาจะกลับมาคุกรุ่นอีกครั้ง ก็ไม่สามารถหยุดยั้งความร้อนแรงของแพลตฟอร์มจากแดนมังกรรายนี้ได้ ด้วยตัวเลขรายได้เติบโตต่อเนื่องที่ทำให้ยักษ์ใหญ่ประจำวงการนั่งไม่ติด

เมื่อกลางสัปดาห์ที่ผ่านมา Wall Street Journal รายงานว่า การเจรจาระหว่างตัวแทนของภาครัฐอเมริกันเพื่อหาทางออกร่วมกันต้องถูกเลื่อนออกไปอีกครั้ง หลังจากที่ทั้ง FBI และพรรครีพับลิกันพากันตบเท้าออกมาแสดงความกังวลว่า TikTok อาจเป็นภัยต่อความมั่นคงของสหรัฐ เพราะเป็นบริษัทสัญชาติจีนที่อาจมีการแอบแชร์ข้อมูลผู้ใช้งานอเมริกันให้ทางการจีนรู้ หรือไม่ก็มีการใช้ระบบอัลกอริทึ่มเพื่อเสนอแนะวิดิโอในลักษณะที่ส่งผลต่อความคิดเห็นทางการเมืองของชาวอเมริกัน

ก่อนหน้านี้ ทั้ง TikTok และคณะกรรมการว่าด้วยการลงทุนจากต่างประเทศในสหรัฐอเมริกา (The Committee on Foreign Investment in the United States-CFIUS) ได้บรรลุข้อตกลงร่วมกันว่า TikTok จะโอนข้อมูลผู้ใช้งานอเมริกันทั้งหมดจากเซิร์ฟเวอร์ที่สิงคโปร์และเวอร์จิเนียมาไว้ที่เซิร์ฟเวอร์ของ Oracle บริษัทไอทีสัญชาติอเมริกัน โดยให้สิทธิ Oracle ในการคัดกรองว่าพนักงานของ TikTok คนใดสามารถเข้าถึงดาต้าเบสดังกล่าว

แม้ TikTok จะรายงานว่า ได้โอนข้อมูลเสร็จสิ้นแล้วตั้งแต่เดือนมิถุนายน แต่การเจรจายังคงไม่คืบหน้า และจนป่านนี้บริษัทก็ยังไม่ได้รับการติดต่อจากทางการสหรัฐในประเด็นอื่นที่ยังค้างคาอยู่

นักวิเคราะห์จาก Cowen มองว่าความล่าช้าอาจมาจากการที่ CFIUS ต้องการเวลาพิจารณารายละเอียดของข้อตกลงให้ถี่ถ้วนก่อนนำเสนอรัฐบาล หรือไม่ก็อาจมาจากการที่ CFIUS กำลังทบทวนข้อตกลงทั้งหมดใหม่อีกครั้งเพื่อหาทางให้ ByteDance ขาย TikTok ให้บริษัทอเมริกัน

อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ไม่เชื่อว่า TikTok จะถูกแบน หรืออัปเปหิออกจากสหรัฐ เพียงแต่อาจต้องปฏิบัติตามข้อตกลงที่เข้มงวดขึ้น

เช่น เจมส์ ลูอิส จาก Center for Strategic and International Studies เชื่อว่า ความฮอตของ TikTok ในกลุ่มวัยรุ่นอเมริกันหลายล้านคนน่าจะทำให้พรรคการเมืองไม่กล้าลงดาบ TikTok เพราะอาจเกิดกระแสตีกลับ และส่งผลต่อคะแนนนิยมในการเลือกตั้งในปี 2024

Investor.com รายงานว่า รัฐบาลไบเดนให้เวลา TikTok หาทางออกเรื่องการรักษาความปลอดภัยของข้อมูลถึงต้นปี ซึ่งเจมส์ ลี นักวิเคราะห์จาก Mizuho Securities มองว่ารัฐบาลไบเดนไม่น่าจะแบน TikTok เพราะยังต้องอาศัยความร่วมมือจากรัฐบาลจีนในการรับมือกับความท้าทายต่าง ๆ ในภูมิภาค ทั้งสงครามรัสเซีย-ยูเครน ไปจนถึงปัญหาเกาหลีเหนือ และปัญหาโลกร้อน และเขาไม่คิดว่าการที่ TikTok ถูกควบคุมมากกว่าแพลตฟอร์มอื่นจะทำให้คู่แข่งหายใจคล่องขึ้นกว่าเดิม

ปัจจุบัน TikTok ไม่ได้จำกัดตัวเองอยู่แค่การเป็น “โซเชียลมีเดีย” แพลตฟอร์มเท่านั้น แต่ยกระดับขึ้นเป็น “เอ็นเตอร์เทนเมนต์” แพลตฟอร์ม ซึ่งให้บริการครอบคลุมตั้งแต่การเป็นโซเชียลมีเดีย ไปจนถึงบริการ มิวสิก สตรีมมิ่ง อีคอมเมิร์ซ คอนเทนต์ข่าว และเกมส์ต่าง ๆ มากมาย ส่งผลให้มีรายได้จากโฆษณาเพิ่มขึ้นอย่างมาก จนกลายเป็นคู่แข่งที่น่ากลัวสำหรับบิ๊กเทคอย่าง Alphabet, Meta และ Snap

แม้บิ๊กเทคจะออกบริการเลียนแบบอย่าง YouTube Shorts ของ Google หรือ Reels ของ Meta ออกมาแข่ง แต่ก็ยังสู้ TikTok ไม่ได้อยู่ดี

Insider Intelligence คาดว่ารายได้จากการโฆษณาของ TikTok ในปี 2024 จะอยู่ที่ 23.58 พันล้านเหรียญ หรือโตขึ้นถึงหกเท่าจากปี 2021 และจากการสำรวจของ Cowen พบว่ารายได้จากออนไลน์ ช็อปปิงของบริษัทก็กำลังมาแรง แม้จะยังตามหลัง Instagram อยู่ก็ตาม

ในปี 2020 แอป TikTok มีคนดาวน์โหลดกว่า 980 ล้านคนทั่วโลก หรือเพิ่มขึ้น 36% จากปีก่อนหน้า และจากการสำรวจของ Sensor Tower พบว่าการใช้งานเฉลี่ยของผู้ใช้งาน TikTok อยู่ที่ 96 นาทีต่อวัน

ความร้อนแรงของ TikTok ทำให้ Facebook โทษ TikTok ว่าเป็นสาเหตุที่ทำให้บริษัทมียอดผู้ใช้งานติดลบเป็นครั้งแรกในปีนี้ ส่วน YouTube เองก็ยอมรับว่ารายได้จากโฆษณาลดลง 2% เพราะมีคู่แข่งที่น่ากลัวอย่าง TikTok

แต่ความฮอตฮิตของ TikTok ที่โตวันโตคืนก็อาจเป็นเหตุให้สหรัฐไม่สามารถวางใจได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ และทำให้ประเด็นเรื่องภัยความมั่นคงแห่งชาติถูกหยิบยกขึ้นมาโจมตี TikTok ได้เสมอ ตั้งแต่ยุคโดนัลด์ ทรัมป์ มาจนถึงยุคโจ ไบเดน