ประชานิยมแก้ค่าไฟ มองให้ไกลกว่าแคมเปญหาเสียง

ประชานิยมแก้ค่าไฟ
คอลัมน์ : ชั้น 5 ประชาชาติ
ผู้เขียน : กษมา ประชาชาติ

การปรับขึ้นค่าไฟฟ้าผันแปรอัตโนมัติ (เอฟที) ต่อเนื่องมา 5 งวด นับจากเดือนมกราคม-เมษายน 2565 มาจนถึงงวดล่าสุด พฤษภาคม-สิงหาคม 2566 รวมแล้ว 2.13 บาทต่อหน่วยแล้ว ผลพวงจากต้นทุนก๊าซธรรมชาติที่ใช้ในการผลิตไฟฟ้าปรับราคาสูงขึ้น หลังสงครามรัสเซีย-ยูเครน

โดยปกติแล้วไทยจะใช้แก๊สธรรมชาติจาก 3 ส่วนคือ ผลิตเอง นำเข้าแอลเอ็นจี เป็นสัญญาระยะยาว “ปริมาณหนึ่ง” แต่ผลิตได้เองส่วนหนึ่ง และนำเข้าจากเมียนมาส่วนหนึ่ง

โชคร้ายที่รอบนี้ “วัตถุดิบ” ที่ผลิตใช้เองจากอ่าวไทยลดลง โดยเฉพาะจากแหล่งเอราวัณ ภายหลังจากไทยเปลี่ยนสัญญาสัมปทานแหล่งเอราวัณที่อ่าวไทยจากบริษัทต่างชาติ มาเป็นบริษัทสัญชาติไทยเสียบแทน มองในด้านที่จริง ๆ ก็ดีที่บริษัทไทยน่าจะได้ประโยชน์

การเปลี่ยนสัญญาสัมปทานเปรียบเทียบง่าย ๆ เหมือนกับการเปลี่ยนคนเช่าบ้าน ซึ่งอยู่มาวันหนึ่งเจ้าของบ้านไปบอกว่าจะให้ออกจ่ายค่าซ่อม (ค่ารื้อถอนแทน) ซึ่งคนเช่าเดิมไม่ยอมจ่าย แถมยังเล่นเกมป่วน แกล้งไม่ดูแลรักษา จนบ้านเกือบพัง คนเช่าใหม่ที่เข้าไป แทนที่จะอยู่ได้ของดีมีสุข ก็กลับไม่ได้อยู่อย่างเป็นสุข เพราะต้องซ่อมบ้านก่อน กว่าจะอยู่ได้เป็นสุขคงใช้เวลาอีก 2 ปีซ่อมเสร็จ

ความโชคร้าย หรือกรรมเวร ไม่ได้ตกไปที่ “เจ้าของบ้าน” ที่เป็นคนสั่งเปลี่ยน แต่มาตกกับประชาชน เพราะจังหวะที่เปลี่ยนมือนั้น ไทยไม่มีก๊าซธรรมชาติใช้เพียงพอ (เพราะบ้านยังซ่อมไม่เสร็จ) เลยต้องซื้อก๊าซธรรมชาตินำเข้าแทน และต้องซื้อนำเข้าแบบรีบ ๆ ที่เขาเรียกสัญญาระยะสั้น แบบ Spot

ซึ่งการซื้อราคาสปอตนี่แน่นอนว่าปกติก็แพงอยู่แล้ว แต่มาจังหวะที่ซวยซ้ำซ้อน เจอสงครามรัสเซีย-ยูเครน ราคาแพงขึ้นไปหลายเท่า จนถึงตอนนี้ราคาลงมาแล้ว แต่พิษของการนำเข้านั้นยังอยู่ คนไทยจึงยังต้องใช้ไฟแพงต่อไป

มาถึงการปรับค่าไฟฟ้ารอบล่าสุดนี้ ที่คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน หรือ กกพ.เคาะปรับขึ้นไปเป็น 4.77 บาท จากการปรับค่าเอฟทีขึ้น 93 สตางค์ แต่ด้วยแรงกดดันจากหลายภาคส่วน ทั้งเอกชนและประชาชน ในจังหวะที่กำลังจะ “เลือกตั้ง” ก็เป็นเหตุทำให้ต้องมีการรื้อค่าไฟที่เคาะไปแล้วใหม่

การรื้อค่าไฟฟ้า กกพ.ทำเองไม่ได้ ก็ต้องมีต้นเรื่องคือการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ทำหนังสือขอขยายเวลายืดหนี้ให้ตัวเอง จากเดิมที่ต้องใช้หนี้ กฟผ. 2 ปี อยู่ ๆ ก็ยอมใจดีให้ยืดไปเป็น 2.4 ปี กัดฟัน กอดบัญชีติดลบไว้ ยอมแบกหนี้ เปิดทางให้ กกพ.เคาะปรับลดค่าไฟลงได้ในที่สุด ประชาชนจะได้ไม่เดือนร้อน

แต่เอาเข้าจริง ๆ การลดค่าไฟฟ้ารอบนี้รอบเดียวดูจะไม่ใช่ทางออกของประเทศไทย และด้วยกำลังเข้าสู่โหมดเลือกตั้ง พรรคการเมืองต่าง ๆ ได้โอกาสจึงหยิบยกนโยบายค่าไฟไปเป็นนโยบายหาเสียงกันเป็นการใหญ่ ไล่เลียงตั้งแต่พรรคที่ประกาศลดค่าไฟฟ้ามากที่สุด พรรคไทยภักดี เหลือ 2.50 บาท/หน่วย, พลังประชารัฐ เหลือ 2.50 บาท/หน่วย

สำหรับบ้านที่อยู่อาศัย และ 2.70 บาท/ต่อหน่วย สำหรับภาคธุรกิจ, พรรคไทยสร้างไทย เหลือไม่เกิน 3.50 บาทต่อหน่วย, พรรคประชาธิปัตย์ เหลือ 3.27-3.77 บาทต่อหน่วย,

พรรครวมไทยสร้างชาติ เหลือ 3.90 บาท สำหรับเกษตรกรและผู้มีรายได้น้อย, พรรคก้าวไกล เหลือ 4.07 บาท/หน่วย มีเพียงพรรคเพื่อไทยที่เสนอว่าจะปรับลดค่าไฟฟ้าให้สอดคล้องกับต้นทุนราคาพลังงาน และเร่งเจรจากรณีพื้นที่ทับซ้อนไทย-กัมพูชา เพื่อหาแหล่งก๊าซธรรมชาติใหม่ ๆ มาทำให้ค่าไฟถูกลง 1-2 บาท/หน่วย ในอีก 2-3 ปีข้างหน้า และพรรคภูมิใจไทยที่จะให้ติดโซลาร์รูฟท็อปฟรี

การใช้ประชานิยมค่าไฟกลายเป็นสีสันใหม่ในการเลือกตั้งครั้งนี้ คล้ายกับประชานิยม ประกันรายได้ข้าว 15,000 บาท ค่าแรง 600 บาท และบัตรสวัสดิการต่าง ๆ แต่ประชาชนต้องตั้งสติอย่างมาก ดูให้ลึกถึงที่มา ที่ไป และความเป็นไปได้เชิงนโยบาย ว่านโยบายเหล่านี้ทำให้เกิดผลจริง ๆ ได้หรือไม่ จะเอาเงินมาจากไหน ไม่ใช่มาสร้างภาระการเงินการคลังในภายหลัง หากจะปรับโครงสร้างราคาต้องไม่ใช่มองแค่วันนี้หรือพรุ่งนี้ ต้องมองถึงอนาคต

เพราะไทยเคยมีบทเรียนแล้วว่า การวางแผนวันนี้อาจจะใช้ไม่ได้ในอนาคต อย่างการวางแผนซื้อไฟฟ้าปี 2555 ตอนนั้นจีดีพีไทยพุ่งไป 6.5% ความต้องการใช้ไฟฟ้าเพิ่มสูงขึ้น ต้องวางแผนซื้อไฟ ต้องป้องกันไฟดับ แต่พอมาถึงปีที่ต้องประมูลและทำสัญญาซื้อไฟ ปี 2556 จีดีพีขยายตัวลดลงเหลือเพียง 2.9% แต่การตัดสินใจทำโครงการใหญ่ ๆ เปลี่ยนแปลงปุ๊บปั๊บไม่ได้ และการจะไปรื้อสัญญาเดิมในตอนนี้ดูจะไม่ใช่เรื่องง่าย เสี่ยงอาจจะซ้ำรอยปัญหาการฟ้องเหมืองทองชื่อดังก็ได้ การวางนโยบายจึงต้องรอบคอบรอบด้านมาก

และที่สำคัญยิ่งไปกว่านั้นคือ นโยบายพลังงานต้องฉายภาพเห็นถึงอนาคตว่า ทิศทางนโยบายพลังงานระยะยาวนอกจากจะแก้ปัญหาแล้ว จะเสริมสร้างความสามารถในการแข่งขันให้ประเทศ ปรับโครงสร้างพลังงานสะอาด สร้างการเติบโตแบบยั่งยืน และไม่เป็นภาระต่ออนาคตต้องทำอย่างไร หากสามารถให้ภาพชัดเจนได้เสียงโหวตท่วมท้นแน่นอน