คอลัมน์ ชั้น 5 ประชาชาติ
โดย ประเสริฐ จารึก
- ประกาศแล้ว! พระราชกฤษฎีกาเงินช่วยค่าครองชีพผู้รับเบี้ยหวัดบำนาญ รับ 11,000 บาทต่อเดือน
- อย. เตือนอย่าซื้อผลิตภัณฑ์ CDS มาทาน อันตรายถึงชีวิต
- แห่ขายที่ดินพ่วงโรงงาน เอกชนถอดใจ-สินค้าจีนตีตลาด
วิกฤตไวรัสโควิด-19 ที่ลุกลามไปทั่วโลก มียอดผู้ติดเชื้อครึ่งล้านคน
กำลังกลายเป็น “สงครามโรคระบาด” ที่ทุกประเทศต้องฟันฝ่าไปให้ได้
เช่นเดียวกับประเทศไทย “โรคโควิด-19” จะเป็นบริบทใหม่ให้ “รัฐบาลประยุทธ์” ต้องหาวิธีการหยุดโรคเพื่อนำพาประเทศเอาชนะสงครามโรคนี้ให้ได้โดยเร็ว
ก่อนที่คนไทยทั้งประเทศจะตกอยู่ในสภาวะ “สงครามประสาท” จากโรคระบาด เพราะขาดรายได้ และหวาดระแวง
เนื่องจากนาทีนี้ไม่มีใครรู้ว่า ตัวเลขผู้ติดเชื้อจะหยุดอยู่ที่เท่าไหร่ ที่สำคัญ ต้องใช้เวลาอีกนานแค่ไหน ถึงจะกลับเข้าสู่สภาวะปกติ
ในเมื่อทุกอย่างเกินจากที่คาดการณ์
ปัจจุบันสถิติผู้ติดเชื้อพุ่งทะยานเป็นรายวัน จากวันละหลักสิบคน ทะลุเป็นวันละกว่า 100 คน จนวันนี้มียอดสะสมมากกว่า 1,000 คน
สวนทางกับ GDP ของประเทศที่หดตัวต่อเนื่อง
ล่าสุดธนาคารแห่งประเทศไทยส่งสัญญาณเศรษฐกิจไทยปี 2563 จะหดตัว 5.3% ก่อนจะผงกหัวกลับมาขยายตัวเป็นบวก 3% ในปี 2564
ปัจจัยหลักทุบเศรษฐกิจไทย มาจาก “โรคโควิด-19” ที่ส่งผลกระทบเป็นลูกโซ่ต่อการส่งออก การท่องเที่ยว จากการที่นักท่องเที่ยวต่างชาติหดตัว 60% รวมถึงเศรษฐกิจประเทศคู่ค้าทั่วโลกชะลอตัวอย่างแรง
ซึ่งธนาคารแห่งประเทศไทยพยากรณ์หากโรคโควิด-19 ยังระบาดรุนแรง และยาวนานต่อไป จะกระทบต่อรายได้ ความเชื่อมั่น กิจกรรมทางเศรษฐกิจของประชาชน และภาคธุรกิจในวงกว้าง
ดังนั้น เป้าหมาย “ไทยแลนด์ 2020” จะให้เศรษฐกิจสดใส คนไทยจะอยู่ดีมีสุข คงจะดูริบหรี่ ขอแค่เอาชีวิตให้รอดถึงปี 2021 น่าจะทำได้ดีที่สุดในเวลานี้
แม้ว่ารัฐบาลจะมีสารพัดมาตรการออกมาเยียวยาทั้งประชาชน ภาคธุรกิจ เพื่อต่อลมหายใจ ไม่ว่าจะชดเชยให้ 5,000 บาท/เดือน เป็นเวลา 3 เดือน แต่ทุกอย่างคงไม่เป็นเหมือนเดิม
โดยเฉพาะผู้มีรายได้น้อย ที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 เมื่อรายได้ต่อเดือนที่เคยได้แบบเต็มเม็ดเต็มหน่วย กลับถูกลดทอนลงไป
จากการปิดห้างสรรพสินค้าเป็นการชั่วคราว 22 วัน ตามมาตรการรัฐบาลที่ต้องการหยุดการเคลื่อนไหวของคนไปในพื้นที่เสี่ยงติดเชื้อ
ถึงจะเป็นระยะเวลาแค่ชั่วคราว แต่ในความรู้สึกของคนหาเช้ากินค่ำ ดูเหมือนยาวนาน
จึงไม่แปลกที่จะเห็นภาพ “คลื่นคน” ทั้งคนไทยและต่างชาติถึงไหลกลับภูมิลำเนา
พลันที่ “พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง” ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ยกระดับคุมเข้มเมืองกรุง ประกาศปิดพื้นที่เสี่ยง ทำให้คนว่างงานแบบฉับพลัน ซึ่งประกาศฉบับนี้ หวังให้คน “หยุดอยู่บ้าน หยุดเชื้อ เพื่อชาติ” ตามนโยบายของรัฐบาล
แต่ดูเหมือนมาตรการดังกล่าว ยิ่งทำให้เกิดปรากฏการณ์ “ไวรัส” ไล่ตามไปแพร่ระบาดจากเมืองกรุงไปสู่ต่างจังหวัดมากขึ้น ในเวลาอันรวดเร็ว
น่าจะเป็นบทเรียนให้รัฐนำกลับไปปรับใช้ กับมาตรการต่อไปที่จะออกมา
จะต้องรอบคอบ รัดกุมมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะการสื่อสารให้ประชาชนคนไทยทั้งประเทศเข้าใจอย่างลึกซึ้งถ่องแท้
วันก่อนไปซื้อของที่ศูนย์การค้าเซ็นทรัล รามอินทรา หลังกรุงเทพมหานครสั่งปิดชั่วคราวถึงวันที่ 12 เม.ย.นี้
ร้านค้าก็มีการปรับรูปแบบการขาย ร้านเปิดอยู่ชั้นบน แต่ตั้งบูทรับออร์เดอร์ในจุดเดียวชั้นใต้ดิน ให้เข้ากับประกาศที่ให้คน take away ซื้อกลับไปกินบ้าน
กำลังเดินดูบรรยากาศ ได้ยินเสียง “เจ๊ดาว” เจ้าของร้าน “มุมอร่อย อ.ต.ก.” ที่ขายอาหารคาว-หวาน ทั้งแห้งและสดประกาศลดราคา 50% เพราะร้านจะปิดแล้ว เจอกันอีกทีวันที่ 13 เม.ย. เพราะขายไม่ได้เลย ไม่มีคนเดิน
วันแรกที่ปิดห้าง ขายได้ 900 บาท จากปกติขายได้วันละ 5,000-10,000 บาท
“เจ๊ดาว” เล่าว่า...พี่ตัดสินใจปิดร้านเลย เพราะขายไม่ได้ คนเงียบมาก แต่คนงานพี่ก็ยังให้ค่าจ้างครึ่งหนึ่ง และมีข้าวให้กินทุกมื้อ ซึ่งของที่ขายเอามาลดราคา ดีกว่าปล่อยให้เน่าเสีย ตอนแรกคิดไว้ ถ้าวันนี้ขายไม่ได้เลย จะเอาไปแจกคนงานก่อสร้าง
ถามว่า..ทางห้างลดค่าเช่าให้เท่าไหร่ในช่วง 22 วันนี้เจ๊ดาวบอก….ห้างลดค่าเช่าให้ 10% บ้าไปแล้ว
เป็นอีกหนึ่งเสียงสะท้อนของคนค้าคนขาย ท่ามกลางสถานการณ์ หยุดโรค (โลก)