สำรวจพนักงานทั่วโลก บริษัทเตรียมรับมือลาออกครั้งใหญ่

ลาออก

กลุ่มบริษัท อเด็คโก้ เอเจนซี่ผู้นำด้านทรัพยากรบุคคลครบวงจร เผยผลสำรวจความคิดเห็นของคนทำงานทั่วโลกต่อรูปแบบการทำงานที่เปลี่ยนไปหลังการแพร่ระบาดของโควิด-19 ซึ่งนับเป็นปีที่ 3 ของการสำรวจ โดยปีนี้เป็นปีแรกที่ผลสำรวจรวมความคิดเห็นของผู้ประกอบอาชีพอื่น ๆ นอกเหนือจากพนักงานออฟฟิศเข้ามาด้วย นับเป็นกลุ่มตัวอย่างขนาดใหญ่ที่สุดรวม 34,200 คน โดยใช้ชื่อรายงานว่า “Global Workforce Of The Future 2022” โดยมีไฮไลต์ที่น่าสนใจในปีนี้ ได้แก่

3 ใน 5 ของคนทำงานทั่วโลก (61%) แสดงความกังวลต่อรายได้ที่ไม่เพียงพอกับค่าครองชีพที่สูงขึ้นซึ่งเป็นผลพวงจากเงินเฟ้อ

“quitfluencers” หรือปรากฏการณ์แรงกระเพื่อมทางความรู้สึกอยากลาออก เป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่ทำให้คนทยอยลาออกจำนวนมาก โดย 7 ใน 10 คน ยอมรับว่าการเห็นผู้อื่นลาออกทำให้หันมาพิจารณาการลาออกของตัวเอง และในท้ายที่สุดมี 5 ใน 10 คนที่ตัดสินใจลาออกตาม โดย Gen Z ได้รับอิทธิพลมากกว่า Gen อื่น 2.5 เท่า

นอกจากนั้น 27% ของคนทำงานทั่วโลกวางแผนจะลาออกภายใน 12 เดือนข้างหน้า เกือบครึ่งหนึ่ง (45%) เริ่มหางานแบบจริงจังและมีนัดสัมภาษณ์งานเรียบร้อยแล้ว และ 6 ใน 10 ของคนทำงานทั่วโลก (61%) ตอบว่ารู้สึกมั่นใจว่าสามารถหางานใหม่ได้ภายในไม่เกิน 6 เดือน และคนจำนวนมากเชื่อว่าคนทำงานเป็นฝ่ายกุมอำนาจในการต่อรองมากกว่าบริษัท

ที่สำคัญ คน Gen Z ต้องการความยืดหยุ่นในการทำงานเป็นพิเศษ โดยเกือบครึ่งหนึ่ง (47%) กำลังทำงานแบบ 4 วันต่อสัปดาห์ และ 64% เลือกใช้ตัวเลือกลดเงินเดือนเพื่อแลกกับการทำงานลดลง 1 วัน

ผลสำรวจยังพบอีกว่าความกังวลเรื่องรายได้ที่ตามไม่ทันค่าครองชีพเป็นผลให้คนทำงาน 51% ตัดสินใจมองหาอาชีพเสริม และ 35% ของคนทำงานที่ไม่ใช่พนักงานออฟฟิศยอมรับว่าได้ประกอบอาชีพเสริมที่จ่ายค่าจ้างเป็นเงินสดเพื่อให้มีรายได้เพียงพอสำหรับใช้ชีวิต โดยคน Gen Y เป็นกลุ่มที่ประกอบอาชีพเสริมมากที่สุด

ดังนั้น เมื่อแยกพิจารณาเป็นสัดส่วนในแต่ละประเทศ ปรากฏว่าออสเตรเลีย, สวิตเซอร์แลนด์ และประเทศในแถบยุโรปตะวันออก รวมถึงตะวันออกกลาง และอเมริกาเหนือเป็น 3 ประเทศ/กลุ่มประเทศ ที่คนมีแนวโน้มจะลาออกมากที่สุดในอีก 1 ปีข้างหน้า คิดเป็น 33% 32% และ 31% ตามลำดับ

ส่วนประเทศที่คนมีแนวโน้มจะลาออกน้อยที่สุดคือ จีน, อิตาลี และญี่ปุ่น คิดเป็น 14% 21% และ 23% ตามลำดับ

ในทางตรงกันข้าม แม้ว่าค่าครองชีพจะเป็นปัญหาสำหรับคนทำงาน แต่การขึ้นเงินเดือนกลับไม่ใช่ปัจจัยอันดับต้น ๆ ที่ทำให้คนยอมอยู่ต่อ โดยปัจจัยอันดับ 1 ที่ทำให้คนยังไม่ลาออกคือ มีความสุขกับงาน รองลงมาได้แก่ ความรู้สึกมั่นคงในหน้าที่การงาน งานมี work life balance และมีความสัมพันธ์ที่ดีกับเพื่อนร่วมงาน ตามลำดับ

แต่สำหรับคนที่ตัดสินใจว่าจะย้ายงานแน่นอน เงินเดือนที่ดียังคงเป็นปัจจัยอันดับ 1 ที่น่าดึงดูดมากที่สุด รองลงมาคือ การมี work life balance และมีความยืดหยุ่น

ธิดารัตน์ กาญจนวัฒน์
ธิดารัตน์ กาญจนวัฒน์

“ธิดารัตน์ กาญจนวัฒน์” ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัท อเด็คโก้ ประเทศไทย กล่าวว่า ถึงเวลาที่องค์กรจะต้องปรับกลยุทธ์การสรรหา และรักษาบุคลากรเพื่อเตรียมความพร้อมรับมือกับการลาออกระลอกใหม่

เพราะนี่คือโอกาสที่องค์กรจะจัดลำดับความสำคัญของนโยบายต่าง ๆ โดยยึดความต้องการของคนทำงานเป็นหัวใจสำคัญ ซึ่งจากผลสำรวจชี้ให้เห็นว่าจุดร่วมกันระหว่างการสรรหา และรักษาบุคลากรคือนโยบายที่ส่งเสริมความสมดุลระหว่างชีวิตการทำงานและชีวิตส่วนตัวของพนักงาน

“ยิ่งช่วงเศรษฐกิจไม่แน่นอนเช่นนี้ คนทำงานได้รับแรงกดดันจากเรื่องของข้าวของราคาแพง ค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันสูงขึ้น แต่รายได้ที่มีอยู่มีมูลค่าน้อยลงตามอัตราเงินเฟ้อ ทำให้เรื่องเงินเดือน และค่าตอบแทนยังเป็นปัจจัยสำคัญในการพิจารณาเลือกงาน ขณะเดียวกัน เรื่องความสุขในชีวิตก็กลายเป็นเรื่องจำเป็นที่ขาดไม่ได้”

องค์กรจึงอาจเริ่มพิจารณาใช้นโยบายที่ช่วยให้พนักงานเกิด work life balance ที่ดีขึ้น อย่างเช่น การเปลี่ยนวิธีทำงานเป็น hybrid working ที่ให้พนักงานเข้า office บางวัน เพื่อเปิดโอกาสให้ทีมงานได้เจอหน้ากัน และทำงานได้สะดวกขึ้น สลับกับการทำงานที่บ้านในวันที่เหลือ เพื่อให้พนักงานมีเวลาอยู่กับครอบครัว หรือทำกิจกรรมอื่น ๆ ได้ วิธีนี้จะช่วยให้คนทำงานสามารถใช้ชีวิตในองค์รวมได้อย่างมีความสุขมากขึ้น

นับเป็นเรื่องท้าทายขององค์กรที่จะสร้างสมดุลของทั้งเรื่องงาน เรื่องเงิน และความสุขให้กับพนักงาน และการรักษาบุคลากรเก่ง ๆ ให้อยู่กับองค์กรก็ยิ่งเป็นเรื่องที่ควรให้ความสำคัญอันดับต้น ๆ

“ธิดารัตน์” กล่าวต่อว่า เพราะหน้าที่นี้ ไม่ได้เป็นเรื่องของผู้บริหารระดับสูง หรือฝ่ายบุคคลอย่างเดียว แต่เป็นเรื่องของหัวหน้างานทุกระดับที่จะต้องทำหน้าที่เป็นจุดเชื่อมโยงสำคัญระหว่างคนทำงานและฝ่ายบุคคล หรือผู้บริหารระดับสูง ดังนั้น หัวหน้าต้องหาเวลาพูดคุยกับทีมงานอย่างสม่ำเสมอเพื่อรู้ปัญหาและความต้องการของทีมงาน รวมถึงเป็นตัวกลางสร้างความสัมพันธ์ที่ดีให้เกิดขึ้นในองค์กร

“สิ่งสำคัญที่สุดในการรักษาพนักงานเก่ง ๆ ไว้คือ องค์กรต้องลงทุนกับการเสริมสร้างทักษะ และความรู้ใหม่ ๆ ให้พนักงานทุกคน ไม่เพียงแค่เฉพาะระดับ manager หรือหัวหน้างาน แต่ยังรวมไปถึงคนทำงานในทุกระดับ เพื่อให้พนักงานมีความพร้อมต่อเทรนด์การทำงานที่กำลังจะเข้ามามีบทบาทมากขึ้นในอนาคตอันใกล้ เช่น ความรู้ด้าน PDPA ความเข้าใจด้านความหลากหลาย และความเท่าเทียมในองค์กร (diversity, equity, and inclusiveness)”

และในส่วนของทักษะที่จำเป็นอย่างทักษะด้านดิจิทัล จากที่หลายองค์กรกำลังปรับใช้ digital transformation เพื่อเสริมความคล่องตัวในการทำงานมากยิ่งขึ้น รวมถึงการเข้ามาของ artificial intelligence (AI) และการเพิ่มขึ้นของ gig economy หรือผู้ประกอบอาชีพอิสระที่รับงานเป็นชิ้น ๆ จึงทำให้คนทำงานหลายคนกังวลว่าทักษะจะไม่เพียงพอ และโดนแทนที่ในอนาคต ทำให้การสร้าง lifelong learning culture ให้เกิดขึ้นในองค์กรเป็นเรื่องจำเป็นอย่างยิ่ง


ฉะนั้น หากองค์กรใดสามารถแสดงให้เห็นว่าองค์กรเห็นคุณค่าในตัวพนักงาน พร้อมทั้งมีนโยบายที่สอดรับกับความต้องการของพนักงาน องค์กรนั้น ๆ จะได้เปรียบในการแข่งขันครั้งนี้