เร่งผลิตจิตแพทย์เพิ่ม 400 คนภายใน 5 ปี หลังพบผู้ป่วยจิตเวช 2.5 ล้านคน

อนุทิน ชาญวีรกูล
ภาพจาก งานประชาสัมพันธ์ สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดนครพนม

กระทรวงสาธารณสุข เร่งผลิตจิตแพทย์เพิ่มอีก 400 คนภายใน 5 ปี หลังพบข้อมูลปี 2565 มีผู้ป่วยจิตเวชเข้ารับบริการกว่า 2.5 ล้านคน

วันที่ 6 ธันวาคม 2565 นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า การดูแลส่งเสริมสุขภาพจิตของคนไทยเป็นนโยบายสำคัญของกระทรวงสาธารณสุข ทั้งนี้ จากระบบคลังข้อมูลสุขภาพกระทรวงสาธารณสุข ปีงบประมาณ 2565 พบว่ามีผู้ป่วยจิตเวชที่มารับบริการตามการรักษาจากทุกสิทธิรวมกันทั้งสิ้น 2,519,255 คน 

ทั้งนี้ ตามประมวลกฎหมายยาเสพติดฉบับใหม่ พ.ศ. 2564 มีแนวทาง “ผู้เสพ คือ ผู้ป่วย” นั้น คาดการณ์ว่าผู้เสพยาเสพติดจะมีประมาณ 1.9 ล้านคน จำแนกตามลักษณะความรุนแรงของการเสพติดเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่ 1.กลุ่มผู้เสพติด ประมาณ 35,000 คน ที่ต้องได้รับการบำบัดฟื้นฟูระยะยาว โดยส่งต่อสถานบริการหรือโรงพยาบาลเฉพาะทางที่มีจิตแพทย์ให้การดูแลรักษาต่อเนื่อง

2.กลุ่มผู้เสพ ประมาณ 4.56 แสนคน กลุ่มนี้ควรเข้าการบำบัดฟื้นฟูสมรรถภาพด้วยสถานพยาบาลในพื้นที่ โดยมีทีมบุคลากรทางการแพทย์ผู้ผ่านการอบรมและมีจิตแพทย์ของจังหวัดเป็นพี่เลี้ยง และ 3.กลุ่มผู้ใช้ ประมาณ 1.2 ล้านคน ซึ่งเป็นกลุ่มที่สามารถดูแลได้ในพื้นที่ด้วยกลไกชุมชนที่บูรณาการร่วมกันทั้งหน่วยงานในและนอกกระทรวงสาธารณสุข

ทั้งนี้ ทีมสาธารณสุข 3 หมอ ได้แก่ โรงพยาบาลชุมชน (รพช.), โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) และอาสาสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) ซึ่งดูแลส่งเสริมสุขภาพประชาชนอย่างใกล้ชิดในชุมชน ได้ร่วมจัดทำแนวทางการฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ป่วยกลุ่มนี้ร่วมกับจิตแพทย์ในแต่ละจังหวัดและเขตสุขภาพในการบำบัดผู้ป่วยจิตเวชและยาเสพติด ทำให้เกิดการดูแลต่อเนื่องเชื่อมโยงในชุมชนอย่างมีประสิทธิภาพตามหลักวิชาการ 

ด้านนายแพทย์โอภาส การย์กวินพงษ์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข ได้จัดวางกลไกสำคัญในการดูแลผู้ป่วยจิตเวชและยาเสพติด โดยขณะนี้ได้เปิดหอผู้ป่วยในผู้ป่วยจิตเวชและยาเสพติด ณ โรงพยาบาลศูนย์ (รพศ.) และโรงพยาบาลในประเทศ แล้วจำนวน 33 จังหวัดใน 11 เขตสุขภาพ คิดเป็นร้อยละ 42.9 ทำให้สามารถดูแลผู้ป่วยจิตเวชและยาเสพติดที่มีความเสี่ยงสูงต่อการก่อความรุนแรงได้อย่างรวดเร็วปลอดภัย

และยังจัดตั้งกลุ่มงานจิตเวชและยาเสพติด ในโรงพยาบาลชุมชน จำนวน 268 แห่ง หรือร้อยละ 34.58 ช่วยรองรับผู้ป่วยที่ต้องได้รับการดูแลบำบัดต่อเนื่องใกล้บ้าน ทำให้การบริการไร้รอยต่อ ผู้ป่วยฟื้นสุขภาวะที่ดีและอยู่ได้ในสังคมอย่างสุขสงบ

ทั้งนี้ ในวันที่ 24-25 พฤศจิกายนที่ผ่านมา กรมสุขภาพจิตได้มีการจัดการประชุมเชิงปฏิบัติการการขับเคลื่อนกลไกการพัฒนาระบบบริการสุขภาพจิต จิตเวชฉุกเฉินและยาเสพติด ที่จังหวัดนครปฐม ผู้บริหารกระทรวงสาธารณสุขระดับสูงและผู้บริหาร รพศ. และ รพท.ต่างร่วมใจมุ่งมั่นขับเคลื่อนนโยบาย สธ. เร่งเพิ่มศักยภาพบุคลากรและสถานที่ให้พร้อมบริการดูแลผู้ป่วยจิตเวชแบบผู้ป่วยในให้แล้วเสร็จภายในสิ้นปี 2565 นี้ 

อย่างไรก็ตาม การเปิดหอผู้ป่วยในรักษาผู้ป่วยจิตเวชและยาเสพติดใน รพศ. และ รพท. ต้องอาศัยอัตรากำลังจิตแพทย์ที่พอเพียงในการปฏิบัติงานบำบัดผู้ป่วยอย่างเข้มข้น จนอาการฉุกเฉินทุเลาแล้วพิจารณาส่งต่ออย่างเหมาะสม รวมทั้งการจัดตั้งกลุ่มงานจิตเวชและยาเสพติด ใน รพช.ทุกแห่งที่ต้องมีจิตแพทย์ในจังหวัดหรือเขตสุขภาพเป็นพี่เลี้ยงในการจัดระบบบริการรับ-ส่งต่อดูแลต่อเนื่องแก่ผู้ป่วยจิตเวชและยาเสพติดในพื้นที่ได้

ดังนั้น กระทรวงสาธารณสุขจึงสนับสนุนกรอบอัตรากำลังจิตแพทย์และมีแผนขยายการฝึกอบรมจิตแพทย์ให้สามารถเอื้อการผลิตจิตแพทย์ได้โดยเร็วยิ่งขึ้น    

มีจิตแพทย์รวม 822 คน

ด้านแพทย์หญิงอัมพร เบญจพลพิทักษ์ อธิบดีกรมสุขภาพจิต กล่าวว่า จำนวนบุคลากรทางการแพทย์ด้านสุขภาพจิต โดยเฉพาะจิตแพทย์ทั่วไปและจิตแพทย์เด็กและวัยรุ่นยังขาดแคลน โดยปัจจุบันมีจิตแพทย์ภาพรวมที่ให้บริการในสังกัดกระทรวงสาธารณสุขและกรุงเทพมหานครเพียง 822 คน จำแนกเป็นจิตแพทย์ทั่วไป จำนวน 632 คน ร้อยละ 76.9 และจิตแพทย์เด็กและวัยรุ่น จำนวน 190 คน ร้อยละ 23.1 อัตราเฉลี่ยจิตแพทย์ 1.25 คน ต่อแสนประชากรในปี 2565 โดยกระจายอยู่ตามภูมิภาคต่าง ๆ ได้แก่ กรุงเทพมหานคร 367 คน ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 114 คน ภาคกลาง (รวมตะวันตก) 112 คน ภาคเหนือ 103 คน ภาคใต้ 83 คน และภาคตะวันออก 43 คน 

ปัจจุบันกรมสุขภาพจิตได้ประสานความร่วมมือกับราชวิทยาลัยจิตแพทย์แห่งประเทศไทย และสมาคมจิตแพทย์แห่งประเทศไทย เพื่อหารือแนวทางในการเพิ่มการผลิตจิตแพทย์ให้ครอบคลุมทั่วประเทศ ทั้งนี้ กรมสุขภาพจิตตั้งเป้าหมายการเพิ่มอัตราเฉลี่ยจิตแพทย์เป็น 1.7 คนต่อแสนประชากร 

โดยร่วมผลักดันผลิตจิตแพทย์ให้ได้ 400 คน ภายในระยะเวลา 5 ปี พร้อมกระจายบริการในทุกเขตสุขภาพ ให้ประชาชนที่มีปัญหาสุขภาพจิตเข้าถึงบริการใกล้บ้านอย่างทั่วถึงเช่นเดียวกับโรคเรื้อรังอื่น ๆ ได้