“ปัจจุบันประเด็นเรื่องสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล ESG (environmental, social and governance) เข้ามามีอิทธิพลต่อภาคธุรกิจอย่างเข้มข้น และได้กลายเป็นประเด็นที่ถูกบรรจุเป็นหลักเกณฑ์ในการขอสินเชื่อของธนาคาร กระทั่งกลายเป็นปัจจัยใหม่ในการตัดสินใจจับจ่ายของลูกค้า ไม่เพียงเท่านั้น ESG ไม่ได้เข้ามามีบทบาทในแง่ของความเสี่ยงที่กระทบกับธุรกิจ
หรือถูกมองว่าเป็นภาระค่าใช้จ่ายเพียงอย่างเดียว แต่ยังเป็นผลกระทบที่ก่อให้เกิดโอกาสทางธุรกิจ ทั้งยังถูกมองว่าเป็นเรื่องที่ช่วยเพิ่มยอดขาย และลดต้นทุนของกิจการ ซึ่งหากธุรกิจสามารถจับกระแสในเรื่องนี้ แล้วแปลงเป็นโจทย์ทางธุรกิจ ก็จะทำให้ได้ประโยชน์จากเรื่อง ESG ไม่มากก็น้อย”
- แคดเมียมมีดีอะไร ทำไมแค่กากยังมีคนอยากได้?
- เปิดคำทำนาย “นางมโหธรเทวี” นางสงกรานต์ ปี 2567 ฝนตกในโลกมนุษย์ 30 ห่า
- น้ำมันทำอาหารใช้แล้วอย่าทิ้ง บางจากรับซื้อ กก.20 บาท เช็ก 162 จุดรับซื้อ
คำกล่าวเบื้องต้นคือสาระสำคัญจากงานแถลงข่าว “6 ทิศทาง CSR ปี 2566 LEAN CLEAN GREEN” ที่จัดขึ้นโดยสถาบันไทยพัฒน์ โดยประเมินทิศทางความรับผิดชอบต่อสังคม และการพัฒนาความยั่งยืนของกิจการ ประจำปี 2566
“ดร.พิพัฒน์ ยอดพฤติการ” ประธานสถาบันไทยพัฒน์ กล่าวว่า ปีนี้สถาบันประมวลแนวโน้มการขับเคลื่อน ESG ของภาคธุรกิจไทย 3 ธีมสำคัญ ได้แก่
หนึ่ง LEAN การรับมือกับเศรษฐกิจโลกที่ถดถอย จากปัจจัยทั้งภายในและภายนอก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของภูมิรัฐศาสตร์ การเมือง อัตราเงินเฟ้อ ความผันผวน ค่าเงิน อัตราดอกเบี้ย ซึ่งเป็นผลทำให้เศรษฐกิจโลกชะลอตัว แม้ประเทศไทยจะได้รับอานิสงส์จากการท่องเที่ยวก็ตาม แต่การจับจ่ายของนักท่องเที่ยวก็ไม่ได้ทั่วถึงทุกอุตสาหกรรม
ฉะนั้น สิ่งที่หลายองค์กรจะต้องทำวันนี้คือการกระชับ หรือรีดไขมันส่วนเกินออกจากองค์กรทั้งในแง่ของทรัพยากร การจัดการของเสีย รวมถึงการนำเทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามาใช้ เพื่อลดค่าใช้จ่าย และให้การทำงานมีประสิทธิภาพสูงสุด
สอง CLEAN เนื่องจากตอนนี้สังคมไทยมีประเด็นเรื่องการทุจริตเกิดขึ้นในทุกภาคส่วน เช่น กลุ่มทุนจีนสีเทา การฉ้อโกงกรณีแชร์ลูกโซ่ การปั่นหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ฯ แก๊งคอลเซ็นเตอร์ ไม่เว้นแม้แต่ในภาคราชการในเรื่องของการเรียกเงินวิ่งเต้นขอตำแหน่งโดยเจ้าหน้าที่ของรัฐ ฯลฯ
ซึ่งจากข้อมูลขององค์กรเพื่อความโปร่งใสนานาชาติจัดอันดับให้ไทยอยู่ที่ 101 จากการจัดอันดับทั้งหมด 180 ประเทศ ในดัชนีชี้วัดภาพลักษณ์คอร์รัปชั่นปีล่าสุด โดยได้ 36 คะแนนจาก 100 คะแนน ทั้งยังตกจากอันดับดีสุดที่ 76 ในปี 2558
“ในส่วนของภาคเอกชนมูลค่าการทุจริตที่เกิดระหว่างองค์กรธุรกิจด้วยกันเองอาจจะสูงกว่ายอดทุจริตที่ให้แก่เจ้าหน้าที่รัฐหลายเท่า แต่มีความยากต่อการตรวจสอบ เช่น กรณีที่เกิดขึ้นกับหน่วยงานรัฐ ทำให้ไม่สามารถเก็บตัวเลขได้แน่ชัด ยิ่งตัวเลขดังกล่าวสูงเท่าไหร่ ต้นทุนการทุจริตจะถูกผลักเป็นภาระแฝงในค่าสินค้าและบริการที่ทั้งเจ้าของกิจการ ผู้ถือหุ้น ผู้บริหาร และพนักงาน ซึ่งต่างเป็นผู้บริโภคในระบบ ต้องรับภาระต้นทุนที่เกิดจากการทุจริตกันอย่างถ้วนหน้า
ทั้งยังบั่นทอนขีดความสามารถทางการแข่งขันของธุรกิจด้วย ดังนั้น ถ้าเรามองในมิติสังคม โจทย์ใหญ่ของการขับเคลื่อนกรอบ ESG ของประเทศ คงหนีไม่พ้นเรื่องการต่อต้านทุจริต ภาคเอกชนจำเป็นต้องเป็นผู้ริเริ่มลงมือดำเนินการอย่างเอาจริงเอาจังด้วยตนเอง มากกว่าการบอกให้ผู้อื่นดำเนินการ เพื่อให้เป็นแบบอย่างกับผู้อื่นปฏิบัติตาม”
สาม GREEN เรื่องใหญ่ที่เกิดขึ้นวันนี้คือการปล่อยมลพิษ ของเสีย หลาย ๆ องค์กรกำลังลงมือเรื่องนี้อย่างเข้มข้น อีกทั้งทั่วโลกกำลังพยายามลดเพดานไม่ให้อุณหภูมิของโลกเกิน 1.5 องศาเซลเซียส การที่ประเทศไทยในฐานะรัฐภาคีสมาชิกสหประชาชาติ ที่เข้าร่วมในความตกลงปารีส ได้ประกาศเป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจกให้ได้ร้อยละ 40 ภายในปี ค.ศ. 2030
พร้อมกับวางเป้าหมายการบรรลุความเป็นกลางทางคาร์บอนภายในปี ค.ศ. 2050 รวมทั้งการบรรลุการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ภายในปี ค.ศ. 2065 ดังนั้น ทุกฝ่ายต้องร่วมลงมือปฏิบัติกันอย่างจริงจังมากกว่าการให้คำมั่นสัญญาที่เป็นเพียงแค่เจตนารมณ์
ขณะที่ทิศทางของความยั่งยืนปี 2566 “ไทยพัฒน์” คาดการณ์ไว้ 6 ทิศทาง ที่หน่วยงาน และองค์กรธุรกิจจะใช้ ESG เป็นกรอบในการขับเคลื่อนดังต่อไปนี้
หนึ่ง ESG as an Enabler ไม่มีกิจการใดที่ปฏิเสธว่า ESG เป็นเครื่องมือสำคัญที่ใช้บริหารจัดการความเสี่ยงต่อประเด็นด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล แต่มีกิจการไม่มากรายที่มองเห็นว่า ESG ยังสามารถใช้เป็นใบเบิกทางไปสู่โอกาสทางธุรกิจที่มีต่อการพัฒนา และนำเสนอผลิตภัณฑ์ และบริการที่มีส่วนสัมพันธ์เชื่อมโยงโดยตรงกับผลได้ หรือกำไรที่เป็นบรรทัดสุดท้ายของกิจการ ยกตัวอย่างที่เห็นภาพชัดคือธุรกิจ EV, solar rooftop ฯลฯ ซึ่งเป็นธุรกิจที่เกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
สอง Industry-specific Taxonomy ในปี 2566 หน่วยงานกำกับดูแลในประเทศไทย เริ่มจัดทำแนวทาง และการแบ่งหมวดหมู่ ประเด็นด้าน ESG จำเพาะรายอุตสาหกรรมที่ตนเองกำกับดูแล ทั้งในภาคธนาคาร ภาคตลาดทุน ภาคประกันภัย ภาคพลังงาน ภาคโทรคมนาคม ฯลฯ ตามความพร้อม และแรงผลักดันจากตลาดที่มีความต้องการนำเรื่อง ESG มาขับเคลื่อนในอุตสาหกรรมนั้น ๆ
ยกตัวอย่าง ภาคอสังหาริมทรัพย์จะเกี่ยวข้องกับการใช้ประโยชน์ที่ดิน ภาคอุตสาหกรรม โดยจะทำเรื่องการจัดการของเสียอันตราย ในภาคการแพทย์และสุขภาพ ประเด็นการเข้าถึงบริการ ฯลฯ ตรงนี้จะเป็นประเด็นที่เกี่ยวเนื่องกับลักษณะธุรกิจที่มีความแตกต่างกันในแต่ละสาขา
สาม Double Materiality หลักการทวิสารัตถภาพคือการระบุประเด็นสาระสำคัญที่นำเกณฑ์ผลกระทบทางการเงินที่เกิดจากปัจจัยความยั่งยืนที่มีต่อการสร้างคุณค่ากิจการมาพิจารณาร่วมกับเกณฑ์ผลกระทบที่เกิดจากการกระทำขององค์กรที่มีต่อเศรษฐกิจ สังคมและสิ่งแวดล้อม
โดยปี 2566 กิจการที่ต้องการภาพลักษณ์ด้านความยั่งยืนให้เป็นที่ยอมรับในระดับสากล ต้องแสดงให้เห็นถึงความตระหนักในความคาดหวังของผู้ลงทุนที่มีต่อการสร้างคุณค่ากิจการ ด้วยสารัตถภาพเชิงการเงิน (financial materiality) รวมทั้งความคาดหวังของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียที่มีต่อการสร้างผลบวกทางเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ด้วยสารัตถภาพเชิงผลกระทบ (impact materiality) ควบคู่กัน
สี่ Climate Action ขณะนี้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อมมีการปรับบทบาทกรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อมเป็นกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม ผ่านมาคณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบแล้วเมื่อวันที่ 20 ธ.ค. 2565 เพื่อเร่งรัดเตรียมการดำเนินงานตามภารกิจเพื่อบรรลุเป้าหมายประเทศเรื่องการลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกดังที่กล่าวมา
ตอนนี้อยู่ระหว่างผลักดันร่างพระราชบัญญัติ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เป็นกฎหมายฉบับแรกของไทย ที่จะยกระดับการทำงานจากภาคสมัครใจ เป็นภาคบังคับ เพื่อให้สอดคล้องสถานการณ์ปัจจุบัน
ดังนั้น ภาคเอกชนไทยจะต้องเริ่มวางเป้าหมายให้ชัดเจนว่าจะมีส่วนช่วยอย่างไร เพราะต่อไปนี้จะต้องถูกบังคับให้ทำเรื่องการลดก๊าซเรือนกระจก ซึ่งปัจจุบันมีบริษัทไทย กว่า 24 แห่ง ท่ามกลางบริษัท 2,000 แห่งทั่วโลกที่ไปกำหนดเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกด้วยศาสตร์ทางภูมิอากาศกับหน่วยงานชื่อ SBTi (Science Based Targets initiative)
จึงคิดว่าเร็ว ๆ นี้อาจมีองค์กรไทยเพิ่มเติมหลายแห่งอาจจะยุ่งมากที่ต้องปรับเปลี่ยนรูปแบบการทำงานจากสมัครใจเป็นข้อบังคับมากขึ้น
ห้า Lean Operation ธุรกิจเดิมที่ยึดหลักด้วยการแสวงหาความเป็นเลิศในทุกด้าน แต่ต่อไปนี้จะหันมาเตรียมรับภาวะการชะลอตัวของเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มเกิดขึ้นสูง โดยใช้หลักการทำน้อย แต่ได้มาก กระชับองค์กรพร้อมกับประเมินความเสี่ยงต่อการถูกดิสรัปชั่นจากเทคโนโลยีดิจิทัล และปัญญาประดิษฐ์
ยกตัวอย่าง การเกิดขึ้นของ ChatGPT ซึ่งเป็นเอไอที่รู้ทุกเรื่อง สามารถเขียนบทความ ร่างเนื้อหากฎหมาย ด้วยคำสั่งคอมพิวเตอร์ ทั้งยังจดบันทึกการประชุมได้ด้วย ตอนนี้บริษัทใหญ่ทั่วโลกกำลังปรับตัว โดยเฉพาะบริษัทเทคโนโลยี เริ่มตื่นตัวกับกระแสนี้ หรือแม้แต่ในอุตสาหกรรมการเงินไทย
อาทิ แบงก์ชาติตอนนี้มีการประกาศหลักเกณฑ์อนุญาตให้จัดตั้งธนาคารพาณิชย์ไร้สาขา (virtual bank) เพื่อให้ผู้ที่มีความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยี ดิจิทัลเสนอบริการทางการเงินรูปแบบใหม่ผ่านช่องทางดิจิทัล เพราะช่วยลดต้นทุนพนักงาน อาคาร และสถานที่
“โดยพร้อมรับคำขอจัดตั้งได้ในปีนี้ และในประเด็นดังกล่าว ผมมองว่าอนาคตอาจเกิดการเปรียบเทียบ และอาจเกิดการแข่งขันระหว่างธนาคารยุคเก่ากับธนาคารยุคใหม่ ดังนั้น ทุกองค์กรคงต้องเตรียมรับมือกับสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งการถูกดิสรัปชั่นจากปัจจัยรอบด้าน เพื่อให้เกิดการกระชับองค์กร และลดต้นทุนต่าง ๆ ด้วย”
หก Proof of Governance เรื่องของธรรมาภิบาล จากข้อมูลดัชนีการปริวรรตเบอร์เทลสแมนน์ 137 ประเทศ ซึ่งจัดทำทุก 2 ปี รายงานว่าในปี 2565 ประเทศไทยมีคะแนนด้านธรรมาภิบาลอยู่ที่ 4.02 จาก 10 คะแนน โดยดัชนีธรรมาภิบาลของไทยอยู่อันดับ 92
ขณะที่การสำรวจสถานภาพความยั่งยืนของกิจการประจำปี 2565 โดยสถาบันไทยพัฒน์พบว่า คะแนนด้านธรรมาภิบาลของกิจการที่ทำการสำรวจ 854 แห่งอยู่ที่ 3.92 คะแนน จาก 10 คะแนน ดังนั้น ในปี 2566 องค์กรธุรกิจต้องแสดงให้เห็นถึงภาระความรับผิดชอบในระดับคณะกรรมการที่เหนือกว่าความรับผิดชอบในระดับเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงาน ตามบทบาทฐานะของผู้นำ หรือผู้รับผิดชอบสูงสุดขององค์กร
ที่สำคัญ จะต้องสร้างความเชื่อมั่น มีความโปร่งใส และพร้อมรับผิดชอบต่อผลกระทบต่าง ๆ ที่เกิดจากนโยบาย และการตัดสินใจต่าง ๆ ด้วย