เอสที เทเลมีเดีย โกลบอล ดาต้าเซ็นเตอร์ (ประเทศไทย) หรือ STT GDC Thailand ผู้ให้บริการจัดเก็บข้อมูล (data center) ระดับไฮเปอร์สเกลแห่งแรกในประเทศไทย นำทัพโดย “บุศรินทร์ ประดิษฐยนต์” ผู้จัดการทั่วไปที่รับหน้าที่ในการบริหารจัดการดาต้าเซ็นเตอร์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศ ควบคู่ไปกับการพัฒนาทีมงานให้มีคุณภาพ และศักยภาพสูงสุด
พร้อมสนับสนุนการเติบโตของธุรกิจในประเทศไทยปัจจุบันที่มีความต้องการใช้งานด้านดิจิทัลเพิ่มมากขึ้น
- สมชัย เลิศสุทธิวงค์ ซีอีโอ “เอไอเอส” สละโสดในวัย 62 ปี
- กองทุนประกันวินาศภัยถังแตก แจ้งชะลอจ่ายคืนหนี้ตั้งแต่ มี.ค.2567
- เรือชนสะพานถล่มในสหรัฐ กระทบเศรษฐกิจ การขนส่งสินค้าเป็นอัมพาต
“บุศรินทร์” กล่าวว่า เอสที เทเลมีเดีย โกลบอล ดาต้าเซ็นเตอร์ (ประเทศไทย) เป็นบริษัทร่วมทุนภายใต้ความร่วมมือระหว่างบริษัท เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ผู้ให้บริการสมาร์ทแพลตฟอร์มด้านอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร
และเอสที เทเลมีเดีย โกลบอล ดาต้าเซ็นเตอร์ ผู้นำด้านการให้บริการดาต้าเซ็นเตอร์ระดับโลกจากประเทศสิงคโปร์ มุ่งเน้นพัฒนาจุดเด่นด้านการให้บริการที่มีความต่อเนื่องด้วย zero downtime เพื่อเป็นการสนับสนุนการดำเนินธุรกิจของลูกค้าที่พึ่งพาการรับส่งข้อมูลจำนวนมากตลอดเวลา ทำให้แตกต่างจากผู้ให้บริการรายอื่น
“ดิฉันได้นำประสบการณ์ในธุรกิจดาต้าเซ็นเตอร์กว่า 20 ปี มาผลักดัน STT GDC Thailand สู่การเป็นผู้นำของประเทศในด้านระบบสาธารณูปโภคดิจิทัล (digital infrastructure) ผ่านการให้บริการดาต้าเซ็นเตอร์ที่สามารถเชื่อมต่อได้กับทุกผู้ให้บริการโทรคมนาคม ด้วยการเชื่อมต่ออย่างเป็นกลาง (carrier-neutral)”
“เราได้สร้างดาต้าเซ็นเตอร์ระดับไฮเปอร์สเกลเฟสแรกที่หัวหมาก กทม.ที่มีพื้นที่รวม 30,000 ตารางเมตร ซึ่งเสร็จไปเมื่อต้นปี 2564 หลังจากนั้น เราเดินหน้าทำเฟสสอง และเมื่อแคมปัสแห่งนี้เสร็จสมบูรณ์ทั้งหมดแล้ว มีพื้นที่รวมทั้งสิ้น 75,000 ตารางเมตร (15 ไร่) เพื่อรองรับการเติบโตและการขยายตัวของธุรกิจดิจิทัลในประเทศไทย”
“บริษัทสร้างดาต้าเซ็นเตอร์ขนาดใหญ่เพราะเรายังเห็นดีมานด์ในระดับประเทศ และภูมิภาคที่ต้องการใช้งานดาต้าเซ็นเตอร์ระดับไฮเปอร์สเกลที่มีประสิทธิภาพ แนวโน้มการใช้เทคโนโลยีของประเทศไทยขององค์กรจำนวนมากเริ่มหันมาประยุกต์ใช้เทคโนโลยีด้านปัญญาประดิษฐ์, แมชีนเลิร์นนิ่ง, คลาวด์ และ 5G ซึ่งสอดคล้องกับรูปแบบเศรษฐกิจที่มุ่งเน้นด้านดิจิทัลตามนโยบายเศรษฐกิจ 4.0 และการปฏิรูปสู่ระบบดิจิทัลของภาคธุรกิจในปัจจุบัน”
“โดยจากสถิติการสร้างข้อมูลด้วยเทคโนโลยีดิจิทัลพบว่ามีการสร้างข้อมูลดิจิทัลจำนวนมาก 2.5 quintillion bytes ต่อคนต่อวัน โดยมีประชากรทั่วโลกใช้อินเทอร์เน็ตกว่า 4.6 พันล้านคน และใช้เวลาบนโลกออนไลน์เฉลี่ยเกือบ 7 ชั่วโมงต่อวัน”
นอกจากนี้ การพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ ๆ อาทิ internet of behavior (IOB) ซึ่งจะมีการใช้เทคโนโลยีเพื่อเก็บข้อมูลของผู้คนมากขึ้น ทั้งในเชิงธุรกิจและภาครัฐ เช่น การจดจำใบหน้าหรือการติดตามพิกัด ทำให้สามารถเข้าใจพฤติกรรมผู้คนได้มากขึ้น และ intelligent composable business ซึ่งเป็นการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางเทคโนโลยีที่สามารถหยิบใช้ข้อมูลต่าง ๆ มาวิเคราะห์เชิงลึกแบบอัตโนมัติได้
จึงทำให้ความต้องการใช้งานสาธารณูปโภคดิจิทัลพื้นฐานที่รองรับการจัดเก็บข้อมูลเพิ่มสูงขึ้นอย่างมาก ซึ่งดาต้าเซ็นเตอร์ในระดับไฮเปอร์สเกลจะสามารถรองรับความต้องการที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องนี้ได้เป็นอย่างดี
ทั้งนี้ STT GDC Thailand เป็นดาต้าเซ็นเตอร์แห่งแรกในประเทศไทยได้รับการรับรองมาตรฐานด้านการออกแบบดาต้าเซ็นเตอร์ในระดับ TIA-942 Certification Rated-3 และ Uptime Institute Tier III Certification ซึ่งเป็นมาตรฐานจากองค์กร The Telecommunications Industry Association (TIA) และ Uptime Institute ตามลำดับ
“บุศรินทร์” อธิบายต่อว่า ที่ผ่านมาธุรกิจไอทีจะถูกมองว่าเป็นงานของผู้ชาย แต่ตนเองมองว่าบทบาทและความรับผิดชอบสายงานไอทีไม่ควรถูกจำกัดด้วยสถานภาพทางเพศ และทุกคนควรได้รับความเท่าเทียมกันด้านโอกาสในการสร้างความสำเร็จให้แก่ตนเองและองค์กร
“อีกเหตุผลหนึ่งที่ผู้หญิงทำงานในสายไอทีน้อยกว่าผู้ชาย เพราะสายงานด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมักจะมีสัดส่วนผู้ร่วมงานเป็นผู้ชายมากกว่า อาจทำให้ผู้หญิงรู้สึกโดดเดี่ยวในการทำงาน ทำให้ผู้หญิงในสาขาอาชีพนี้ไม่มีต้นแบบ ไม่มีคู่หู หรือไม่มีที่ปรึกษาที่เข้าใจ STT GDC Thailand จึงพยายามให้พนักงานทุกคนมองข้ามเรื่องความแตกต่างด้านเพศ
ผู้ชายสามารถปรึกษาเรื่องงานด้านไอทีผู้หญิงได้เช่นกัน และน้อง ๆ ทุกคนสามารถมาพูดคุยกับฝ่ายบุคคล หรือผู้บริหารระดับสูงอย่างดิฉันซึ่งเป็นผู้หญิงได้เสมอ ทำให้พนักงานรู้สึกว่า พวกเขามีเพื่อนตลอด และเราเปิดโอกาสให้ผู้หญิงเติบโตในองค์กรได้เท่ากับผู้ชาย”
“นอกจากนั้น เราพยายามเสริมทักษะให้พนักงานของเรามีความโดดเด่นจากที่อื่นน้อง ๆ จะได้เรียนภาษาจีน เพราะเป็นภาษาที่มีความสำคัญไม่แพ้ภาษาอังกฤษ และลูกค้ากลุ่มเป้าหมายของเราคือ บริษัทข้ามชาติ และตอนนี้จีนมาทำธุรกิจในไทยมากขึ้น
แต่ในส่วนของพนักงานวิศวกรที่จะมาทำด้านดาต้าเซ็นเตอร์ค่อนข้างหายาก เพราะในประเทศไทยยังไม่มีสอนด้านนี้โดยตรง ส่วนใหญ่เป็นวิศวะเครื่องกลหรือไฟฟ้า ดังนั้น เราจึงเริ่มปูทางทำงานร่วมกับมหาวิทยาลัย ในการร่วมอบรมความรู้ด้านศูนย์เก็บข้อมูล”
“ตอนนี้เรามีพนักงานประมาณ 50 คน เป็นวิศวกร 60% ส่วนใหญ่เป็นคนเจเนอเรชั่น Y และ Z หลายคนอาจมองว่าคนรุ่นใหม่ไม่อดทนกับงาน ส่วนดิฉันเชื่อว่าพวกเขามีความอดทน แต่ชอบทำงานกับคนที่เปิดโอกาสให้เป็นตัวของตัวเอง ได้แสดงความคิดเห็น และได้รับการยอมรับด้านไอเดีย”
“ที่สำคัญ สภาพแวดล้อมการทำงานสำคัญมาก เราต้องทำให้สำนักงานน่าอยู่ ให้เขารู้สึกอยากมาทำงาน นี่คือสิ่งที่คนรุ่นใหม่ชอบ โดยเฉพาะงานด้านดาต้าเซ็นเตอร์ที่เวลาทำงานมักแตกต่างจากงานอื่น ๆ คือเราทำงานหลังบริษัทลูกค้าเลิกงานแล้ว รวมถึงการทำงานกับระบบเครื่องจักรกลตลอดเวลา อาจสร้างความเครียด เราจึงต้องดูแลสภาพการเป็นอยู่ของพวกเขาในที่ทำงานให้ดีที่สุด”
บริษัทต้องการพัฒนาทีมงานให้มีคุณภาพและศักยภาพ เพื่อให้บริการแบบ end-to-end ที่สอดคล้องกับความต้องการของลูกค้าในทุกกระบวนการ พร้อมที่จะสนับสนุนการเติบโตของธุรกิจในปัจจุบันที่มีความต้องการใช้งานด้านดิจิทัลเพิ่มมากขึ้น
ทั้งนี้ บริษัทด้านไอทีในไทยจึงควรให้ความสำคัญกับผู้หญิงมีสัดส่วนมากขึ้นในองค์กร ฉะนั้น ในระยะยาวจะเกิดการขาดความหลากหลายทางชีวภาพ และส่งผลต่อประสิทธิภาพขององค์กร