ยูนิเซฟ เผยแม่ติดโควิด ให้นมได้ ช่วยสร้างภูมิคุ้มกันทารกแข็งแรง

ภาพ: Unicef

ยูนิเซฟ เผยแม่ติดโควิด ให้นมได้ ช่วยสร้างภูมิคุ้มกันให้ทารกแข็งแรง แต่ต้องรักษาสุขอนามัยอย่างเคร่งครัด

วันที่ 2 สิงหาคม 2564 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันที่ 1-7 สิงหาคมของทุกปี เป็นวันสัปดาห์นมแม่โลก “ยูนิเซฟ” (Unicef) ได้แนะนำให้แม่เลี้ยงลูกด้วยนมแม่อย่างต่อเนื่อง พร้อมรักษาสุขอนามัยขณะให้นมลูกท่ามกลางการแพร่ระบาดของโควิด-19 โดยน้ำนมแม่จะช่วยสร้างภูมิคุ้มกันให้ทารกแข็งแรง และช่วยปกป้องลูกน้อยจากการติดเชื้อและการเจ็บป่วย

เนื่องจากในปัจจุบันยังไม่มีหลักฐานยืนยันว่าโควิด-19 สามารถติดต่อผ่านน้ำนมแม่ได้ องค์การอนามัยโลก (WHO) และยูนิเซฟจึงแนะนำให้แม่เลี้ยงลูกด้วยนมแม่อย่างต่อเนื่อง โดยสามารถให้นมจากเต้าและโอบกอดแนบเนื้อได้ แม้ว่าแม่จะติดเชื้อโควิด-19 หรือมีความเสี่ยงสูง

อย่างไรก็ดี ผู้เป็นแม่ควรรักษาสุขอนามัยอย่างเคร่งครัด เช่น ใส่หน้ากากอนามัยขณะให้นมลูก ล้างมือด้วยสบู่ก่อนและหลังสัมผัสลูก ตลอดจนหมั่นทำความสะอาดพื้นผิวที่แม่สัมผัสบ่อย ๆ เพื่อลดความเสี่ยงในการติดเชื้อ ทั้งนี้ มีการศึกษาหลายอันระบุว่า ประโยชน์ของนมแม่มีมากกว่าความเสี่ยงต่อการแพร่เชื้อไปสู่ลูก อีกทั้งแอนติบอดี้ในนมแม่ยังอาจช่วยต่อสู้กับอาการป่วยหากทารกได้รับเชื้อโควิด-19

นางคยองซัน คิม ผู้อำนวยการองค์การยูนิเซฟ ประเทศไทย กล่าวว่า การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ถือเป็นวิธีที่ดีที่สุดอย่างหนึ่งในการช่วยให้ทารกเติบโตอย่างแข็งแรง โดยเฉพาะในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19 น้ำนมแม่เปรียบเสมือนวัคซีนหยดแรกสำหรับทารก เพราะเปี่ยมไปด้วยสารอาหารที่มีประโยชน์ มีแอนติบอดี้ ฮอร์โมน และสารต้านอนุมูลอิสระ ที่ช่วยกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันของทารกและป้องกันการติดเชื้อต่าง ๆ ได้ดี

การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อสุขภาพและพัฒนาการของเด็กทั้งในช่วงแรกเกิดไปจนถึงวัยผู้ใหญ่ การศึกษาต่าง ๆ พบว่าเด็กที่ได้กินนมแม่มักจะมีความเสี่ยงในการเจ็บป่วยน้อยกว่า อีกทั้งมีแนวโน้มที่จะมีไอคิวสูงกว่า เมื่อเทียบกับเด็กที่ไม่ได้กินนมแม่

นอกจากนี้ การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ยังช่วยเสริมสร้างสายใยรักและผูกพันระหว่างแม่กับลูก อีกทั้งลดความเสี่ยงของแม่ในการเป็นโรคอ้วน โรคเบาหวานชนิดที่สอง โรคหัวใจและหลอดเลือด มะเร็งเต้านม และมะเร็งรังไข่อีกด้วย

ทั้งนี้ องค์การอนามัยโลกและยูนิเซฟได้แนะนำให้แม่เลี้ยงลูกด้วยนมแม่เพียงอย่างเดียวในช่วง 6 เดือนแรก เพื่อประโยชน์สูงสุดด้านสุขภาพและพัฒนาการของเด็ก อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยถือเป็นหนึ่งในประเทศที่มีอัตรานี้ต่ำที่สุดในภูมิภาค ผลการสำรวจสถานการณ์เด็กและสตรีในประเทศไทยปี 2562 โดยสำนักงานสถิติแห่งชาติและยูนิเซฟ พบว่า มีเด็กเพียงร้อยละ 14 ที่ได้กินนมแม่เพียงอย่างเดียวในช่วง 6 เดือนแรกของชีวิต ซึ่งลดลงจากร้อยละ 23 ในปี 2559

ยูนิเซฟได้เรียกร้องให้ภาครัฐบาลและเอกชนเพิ่มการลงทุนในด้านต่าง ๆ เพื่อส่งเสริมการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ ตัวอย่างเช่น บุคลากรทางการแพทย์ควรสนับสนุนให้ทารกแรกเกิดได้รับนมแม่ภายในชั่วโมงแรกหลังคลอด พร้อมให้ความรู้และคอยแนะนำให้แม่สามารถให้นมลูกได้อย่างต่อเนื่อง ในขณะเดียวกัน หน่วยงานสาธารณสุขควรปฏิบัติตามพระราชบัญญัติควบคุมการส่งเสริมการตลาดอาหารสำหรับทารกและเด็กเล็กอย่างเคร่งครัด เช่น กำกับดูแลการตลาดออนไลน์ของนมผงที่เข้าถึงแม่โดยตรง หรือห้ามการแจกตัวอย่างนมผงภายในโรงพยาบาล

นอกจากนี้ ภาครัฐบาลและเอกชนควรออกนโยบายที่เป็นมิตรกับเด็กและครอบครัว เพื่อให้แม่สามารถเลี้ยงลูกด้วยนมแม่อย่างต่อเนื่องหลังจากที่ต้องกลับไปทำงาน เช่น สามารถลาคลอดได้อย่างน้อย 18 สัปดาห์โดยได้รับค่าจ้าง หรือสิทธิลาคลอดสำหรับพ่อ ในขณะเดียวกัน ที่ทำงานควรมีนโยบายที่ชัดเจนและจัดให้มีมุมนมแม่ที่สะอาดปลอดภัยเพื่อให้แม่บีบเก็บน้ำนมได้

“อัตราการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ค่อนข้างต่ำในประเทศไทย มีเด็กจำนวนมากกำลังพลาดโอกาสในการเริ่มต้นชีวิตอย่างดีที่สุด นั่นเป็นสิ่งที่ทำให้ยูนิเซฟยังคงผลักดันให้เกิดนโยบายที่เป็นมิตรกับเด็กและครอบครัวอย่างต่อเนื่อง รวมถึงพวกที่เป็นแม่ยังต้องการการสนับสนุนจากทุกฝ่าย โดยเฉพาะในช่วงที่มีการแพร่ระบาดโควิด-19 ที่บริการต่าง ๆ หยุดชะงักลง” นางคิมกล่าว