ALPHA WEALTH หลักสูตรผู้นำเทรนด์ลงทุนดิจิทัล

ดร.ศุภชัย สุขะนินทร์-พิชัญญา กัญจนาภรณ์

เดินหน้าเข้าสู่ปีที่ 5 สำหรับบริษัท ไฟว์เวล จำกัด ภายหลังก่อตั้งเมื่อปี 2561 เพื่อเป็นบริษัทที่ปรึกษา และจัดทำหลักสูตรการเรียนรู้สำหรับผู้บริหารระดับสูง ซึ่งขับเคลื่อนโดย “ดร.ศุภชัย สุขะนินทร์” ผู้เชี่ยวชาญทางด้านเทคโนโลยีใหม่, การเงิน, การลงทุน, อาหาร และคร่ำหวอดในสายการเงินมากกว่า 30 ปี

และ “พิชัญญา กัญจนาภรณ์” นักธุรกิจทายาทเจเนอเรชั่นที่สองของซินไฉฮั้ว แบรนด์ซักแห้งเจ้าแรกในประเทศไทย และ MC Jean โดยเป็นซีอีโอผู้กุมบังเหียนบริษัท พี.เค. แกรนด์ (P.K. GRAND COMPANY LIMITED) บริษัทให้เช่าอสังหาริมทรัพย์

ที่ผ่านมาไฟว์เวลจัดทำหลักสูตรเพื่อผู้บริหารระดับสูงหลากหลายรูปแบบ อาทิ AL for Executive, Ultralink China, Ultra Influencer ทุกหลักสูตรเป็นไปตามกระแสของโลกที่ผู้บริหารจะต้องรู้ โดยเน้นที่การแลกเปลี่ยนความรู้ และการปฏิบัติจริง พร้อมจัด business trip ดูงานต่างประเทศ เพื่อให้เกิด business matching ของกลุ่มผู้เรียน และธุรกิจที่ไปดูงาน

ล่าสุดเปิดหลักสูตร “ALPHA WEALTH” (อัลฟ่า เวลท์) ให้ความรู้ความเข้าใจด้านการลงทุนในเทคโนโลยีขั้นสูง ยุคดิจิทัล เพื่อปูทางให้นักลงทุนไทยเตรียมพร้อมเข้าสู่โลกการลงทุนวิถีใหม่ในยุคดิจิทัล

“ดร.ศุภชัย สุขะนินทร์” กรรมการผู้จัดการของบริษัท กล่าวว่า วิกฤตโควิด-19 เป็นปัจจัยเร่งให้การลงทุนในเทคโนโลยีขั้นสูงเติบโตอย่างรวดเร็ว และส่งผลต่อไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตเปลี่ยนไป รวมถึงเทรนด์การลงทุนจากเดิมที่มักลงทุนในหุ้น ทองคำ หรือการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า

ซึ่งในปัจจุบันไม่สามารถสร้างผลตอบแทนได้เหมือนในอดีต ในช่วงที่ผ่านมาเกิดนักลงทุนรุ่นใหม่ซึ่งอยู่ในเจเนอเรชั่นอัลฟ่า (Gen Alpha) ซึ่งเป็นเจนที่มีความสามารถทางเทคโนโลยีสูง และสามารถใช้เทคโนโลยีได้อย่างมีประสิทธิภาพ กลุ่มนักลงทุนรุ่นใหม่นี้จะนิยมลงทุนใน cryptocurrency ประกอบกับเทคโนโลยีทางการเงิน (FinTech) และเทคโนโลยีขั้นสูง (DeepTech) มีบทบาทสำคัญในการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้บริโภคและการดำเนินธุรกิจต่าง ๆ ไปทั่วโลก

“ดังนั้น หลักสูตร ALPHA WEALTH จึงเป็นเรื่องเกี่ยวกับการลงทุนแนวใหม่กับกลุ่มคนที่มีวิธีการคิดแบบอัลฟ่า ยกตัวอย่างคนอายุ 60 ปี อาจจะสนใจเรื่องบิตคอยน์”

“ดร.ศุภชัย” กล่าวต่อว่า การเปิดหลักสูตรไม่ใช่เป็นการนั่งพูดถึงความหมายของเทรนด์แต่ละอย่าง แต่เป็นการเตรียมความพร้อมให้นักลงทุนไทย ด้วยการเชิญซีอีโอจากบริษัทชั้นนำที่มีความเชี่ยวชาญในแต่ละด้านมาถ่ายทอดความรู้และประสบการณ์จริง

เช่น เรื่อง Metaverse นวัตกรรมที่มีผลต่อไลฟ์สไตล์ของคนในยุคปัจจุบัน, DeepTechnology, cryptocurrency, NFT การซื้อขายภาพใน NFT สามารถทำเงินได้เป็นหลักแสน หลักล้าน รวมถึง robot trade หรือการนำระบบคอมพิวเตอร์มาช่วยบริหารพอร์ต

“เพราะอย่าลืมว่าการลงทุนในตลาดหุ้นยังมีช่วงเวลาเปิด-ปิด แต่โลกของ cryptocurrency ทุกอย่างอยู่บน blockchain ทุกอย่างอยู่บนโลกออนไลน์เกิดขึ้นตลอด 24 ชั่วโมง ไม่มีวันหยุด ดังนั้น การนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยจึงมีส่วนสำคัญ นอกจากนี้ ยังมีการให้ความรู้ไปถึงเรื่องการจัดการทางบัญชี-ภาษี, property technology รวมถึงการนำเทคโนโลยีมาปรับใช้ในแวดวงอสังหาริมทรัพย์ เป็นต้น”

“พิชัญญา กัญจนาภรณ์” กล่าวเพิ่มเติมว่า หลังจากจบภาคทฤษฎีแล้วยังเปิดโลกการลงทุนด้วยการจัด business trip พาไปดูงานที่ประเทศอิสราเอล เพื่อศึกษาเทรนด์การลงทุนจาก startup ด้วยตัวเอง และอาจต่อยอดไปสู่ business matching ด้วย

โดยพาไปดูงานที่ Silicon Wadi ย่านสำคัญทางเศรษฐกิจของอิสราเอลที่มีชื่อเสียงว่าเสมือน Silicon Valley ของสหรัฐอเมริกา เพราะเป็นแหล่งบ่มเพาะ startup ที่มีความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยีสูง

โดยมีสัดส่วนการลงทุนด้านวิจัยวิทยาศาสตร์ และนวัตกรรมอยู่ร้อยละ 4.3 ของ GDP ทั้งประเทศ และจำนวน startup ถึง 8,200 ราย เปรียบเทียบกับประชากร 9 ล้านคน ถือเป็นสัดส่วนที่มากที่สุดในโลก

นอกจากนี้ ยังเป็นประเทศที่เน้นด้านความปลอดภัยสูง ที่สำคัญยังเป็นประเทศที่ก้าวหน้าถึงขั้นมีเอทีเอ็มบิตคอยน์อีกด้วย เหมือนเราเป็นคนจัดทริปพาไป แต่พอกลับมา จะขึ้นอยู่กับผู้บริหารคนนั้น ๆ ว่าสนใจอยากลงทุนประเภทไหน

“ตอนนี้ทุกอย่างบนโลกเปลี่ยนไปมาก ดิฉันคิดว่าใครที่มองเห็นเทรนด์ก่อน คนนั้นรวยก่อน เราจึงพยายามสร้างหลักสูตรที่มีเนื้อหาต่างจากคนอื่น เพราะไม่อยากให้เป็นหลักสูตรมานั่งฟังเฉย ๆ โดยกลุ่มเป้าหมายของเราจึงเน้นไปที่ผู้บริหารระดับสูง ซึ่งเป็นคนที่มีวิชั่นทางธุรกิจ มีอำนาจในการตัดสินใจ

เพราะหลักของเรานอกจากการให้ความรู้แล้ว สิ่งสำคัญคือ อยากให้เกิดคอนเน็กชั่นระหว่างผู้บริหารระดับสูงด้วยกัน เมื่อเรียนหลักสูตรของเราแล้ว หากตัดสินใจอยากลงทุนอะไรสักอย่าง ผู้บริหารจะตัดสินใจได้เลยทันที ไม่ต้องมีกระบวนการที่ซับซ้อนและยาวนาน”

“ดร.ศุภชัย” กล่าวเสริมว่า ทุกหลักสูตรที่บริษัทจัดทำขึ้น ล้วนเป็นไปตามเทรนด์ อย่างเมื่อ 3-4 ปีก่อน มีทำเรื่องบล็อกเชน ตอนนั้นยังไม่มีใครเข้าใจมากนัก ซึ่งหลักสูตรนี้เปิดมาถึงรุ่นที่ 3 แล้ว มีการแจกเหรียญบิตคอยน์ด้วย หรืออย่างตอนที่ Tencent, Xiaomi กำลังดัง

เราจัดหลักสูตร Ultralink China พาไปดูงานที่จีน ต่อมาเราก็ทำหลักสูตรชื่อ Ultra Influencer สร้างผู้ประกอบการให้เป็นอินฟลูเอนเซอร์ โดยใช้เทคโนโลยี หรือโซเชียลมีเดีย เป็นตัวช่วย ซึ่งก็เปิดรับผู้ประกอบการที่มีช่องทางสื่อเป็นของตนเอง เอามาช่วยซัพพอร์ตสร้างรายได้ให้เขาอีกช่องทาง

“ที่ผ่านมามีนักธุรกิจเข้ามาร่วมกับเราหลายธุรกิจมาก ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจโรงพยาบาล, ธนาคาร, อสังหาริมทรัพย์, โรงงาน ฯลฯ ผู้บริหารส่วนใหญ่มักกังวลเรื่องการถูกดิสรัปชั่น เขาต้องเสาะแสวงหาความรู้ใหม่ ๆ ไปเรื่อย ๆ เพราะการทำธุรกิจตอนนี้แคบลงมาก

ยกตัวอย่างเช่น Agoda ที่ครองตลาดมา 7-8 ปี วันหนึ่งใครจะรู้ว่า Airbnb จะเข้ามา ดังนั้น ถ้าธุรกิจใหญ่ ๆ ไม่รู้จักเทคโนโลยีจะเหนื่อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนนี้เมตาเวิร์สกำลังมา ก็ต้องเลือกว่าจะอยู่แพลตฟอร์มไหน หรืออนาคตจะมีรถไร้คนขับ แน่นอนว่าถ้าเทรนด์เหล่านี้มา ทุกอุตสาหกรรมจะต้องปรับตัว”

แม้แต่อุตสาหกรรมการศึกษา เพราะแนวทางการเรียนแบบเดิมไม่ตอบโจทย์ทุกวันนี้ถ้าไปสมัครงาน แทบทุกบริษัทจะไม่ถามว่าเรียนจบที่ไหน แต่จะถามว่าทำอะไรได้บ้าง ยกตัวอย่างสายงานมาร์เก็ตติ้ง ต้นปี 2564 มีการพูดถึงตำแหน่งดิจิทัลมาร์เก็ตติ้ง และตอนนี้กำลังเกิดตำแหน่งเอไอดิจิทัลมาร์เก็ตติ้ง มันค่อย ๆ เปลี่ยน เราต้องพยายามเรียนรู้และเข้าใจด้วย ฉะนั้น หลักสูตรจะช่วยวางกรอบการทำงานของ HR ด้วย

ผู้บริหารทั้งสองคนสรุปตรงกันว่า แนวทางของไฟว์เวลคือ การสร้างเวลท์ กับเทคโนโลยีและสิ่งที่เปลี่ยนไปในโลกนี้ เพราะฉะนั้นจะอีก 3 ปี หรือ 3 เดือนข้างหน้ามีการเปลี่ยนแปลงอีกแน่นอน ส่วนเป้าหมายต่อไปเรามองว่าเทรนด์มาแรงคือ

เรื่องของ net zero อาจจะเอาเนื้อหาตรงนี้ไปใส่ในบางคอร์สในรุ่นถัดไป หรือถ้าเมตาเวิร์สมาเต็มตัว อาจจะนำข้อมูลเรื่อง AR, VR มาแชร์ อาจจะโฟกัสไปที่การลงทุนแว่นตาสำหรับ AR, VR แต่ตอนนี้ยังไม่สามารถตอบได้ เราต้องจับตาเทรนด์ใหม่ ๆ

“เพราะสิ่งที่ตั้งใจคือ เราจะไม่อยู่ที่เดิม โลกหมุน เราก็จะหมุนตาม”