อาร์เจนตินา แชมป์บอลโลก 2022 คีย์เมสเสจ-เส้นทางแห่งความสำเร็จ

อาร์เจนตินา
Photo by Kirill KUDRYAVTSEV / AFP
ผู้เขียน : ชัชพงศ์ ชาวบ้านไร่

ทัพฟ้าขาว อาร์เจนตินา เอาชนะจุดโทษทีมชาติฝรั่งเศสไปได้ 4-2 หลังเสมอกันในเกมสุดมัน 3-3 ประตู ผงาดคว้าแชมป์ฟุตบอลโลก 2022 อย่างยิ่งใหญ่ และปิดตำนานของชายผู้ชื่อ ลิโอเนล เมสซี (Lionel Messi) ในนามทีมชาติอย่างสวยงาม ราวกับพระผู้เป็นเจ้าได้เขียนบทไว้ เส้นทางของทัพฟ้าขาวกว่าจะประสบความสำเร็จในเวิลด์คัพหนนี้ ไม่ได้ราบรื่นนัก หลังต้องผิดหวังในทัวร์นาเมนต์ระดับเมเจอร์มาหลายครั้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในรายการนี้ที่แพ้ในนัดชิงต่อทีมอินทรีเหล็ก เมื่อฟุตบอลโลก 2014 ที่บราซิล

อาร์เจนตินาเป็นแชมป์ฟุตบอลโลกสมัยที่ 3 หลังห่างหายจากดาวดวงล่าสุดตั้งแต่ปี 1986 นัดชิง 2022 ที่เกิดขึ้นจึงสำคัญที่สุดในชีวิตของใครหลายคน ไม่ว่าจะเป็น ลิโอเนล เมสซี เนื่องจากเป็นฟุตบอลโลกหนสุดท้ายของเจ้าตัวในวัย 35 กะรัต และ ลิโอเนล สกาโลนี กุนซือ ผู้ถูกด้อยค่ามาตลอด หลังเข้ามากุมบังเหียนทัพฟ้าขาว

ลิโอเนล สกาโลนี
Lionel Scaloni Photo by JUAN MABROMATA / AFP

ลิโอเนล สกาโลนี กุนซืออันเดอร์เรต ที่นักเตะพร้อมวิ่งถวายหัว

สกาโลนีเข้ามารับงานเป็นกุนซือทีมชาติอาร์เจนตินาหลังจากฟุตบอลโลกเมื่อปี 2018 ที่รัสเซียจบลง เนื่องจากเขาเป็นผู้ช่วยของฮอร์เก ซามเปาลี (Jorge Sampaoli) ที่ถูกตะเพิดออกจากตำแหน่งไป ในเวลานั้น สกาโลนีขาดประสบการณ์การเป็นโค้ชอย่างชัดเจน เขาไม่เคยรับงานในฐานะกุนซือทีมใหญ่ อีกทั้งเมื่อสมัยเป็นนักเตะก็ไม่ได้โดดเด่นและประสบความสำเร็จมากนัก

ดังนั้น การเป็นผู้จัดการทีมครั้งนี้จึงเป็นความท้าทายที่ใหญ่สุดในอาชีพ

สกาโลนีสร้างทัพฟ้าขาวยุคใหม่ขึ้นด้วยปรัชญาที่ว่า “ทีมชาติอาร์เจนตินาเป็นของทุกคน ต้องให้โอกาสผู้เล่นทุกคน จึงค่อยตัดสินใจว่าพวกนักเตะเหล่านั้นดีพอหรือไม่” ทำให้เขาได้รวบรวมทีมที่ยอดเยี่ยม และนักเตะที่พร้อมจะเล่นถวายหัวเพื่อเขาอย่างแท้จริง

จนกระทั่งทีมชาติอาร์เจนตินาได้สัมผัสกับความสำเร็จครั้งแรกในยุคของสกาโลนีกับการคว้าแชมป์โคปาอเมริกา เหนือคู่อริตลาดกาลอย่างบราซิลเมื่อปี 2021 การคว้าแชมป์โคปาอเมริกาช่วยเพิ่มความมั่นใจให้กับทีม และนำทัพฟ้าขาวไปสู่ทิศทางที่ควรจะเป็นอย่างมาก นอกจากนี้สกาโลนียังได้เห็นผู้เล่นที่คู่ควรในการเดินหมากบนกระดานสำหรับการแข่งขันฟุตบอลโลก 2022

ลิโอเนล สกาโลนี
Photo by Antonin THUILLIER / AFP

ทัพฟ้าขาวในยุคของสกาโลนีโดดเด่นด้วยความสามัคคีเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน และที่สำคัญไปกว่านั้นคือ ความสามารถของผู้เล่นที่คัดมาเองกับมือ ซึ่งแต่ละคนต่างรู้ว่าตัวเองมีบทบาทอะไรในทีม และต้องศรัทธาในตัวเจ้านาย โดยสิ่งเหล่านี้ต่างถูกถ่ายทอดไปยังบรรดาแฟนบอลด้วย

สกาโลนีถูกสบประมาทและปรามาสมาตลอดตั้งแต่เริ่มต้นอาชีพนี้ ด้วยประสบการณ์ที่ไม่ได้มากมาย อีกทั้งเจ้าตัวยังเป็นกุนซือที่อายุน้อยที่สุดในเวิลด์คัพหนนี้ ด้วยวัยเพียง 44 ปี แต่นั่นไม่ใช่อุปสรรค กุนซือผู้นี้ปราดเปรื่องอยู่พอตัว และโดดเด่นในเรื่องการปรับเปลี่ยนแท็กติกให้ยืดหยุ่นตามคู่แข่ง โดยโค้ชชาวอาร์เจนไตน์ปรับรูปแบบการเล่นตลอดทัวร์นาเมนต์ เพื่อปิดจุดเด่นของคู่แข่งที่เผชิญ

แม้จะพลาดท่าพลิกล็อกต่อซาอุดีอาระเบียในเกมแรก แต่ก็ถือเป็นการโยนความกดดันทิ้ง และหลังจากนั้นพวกเขาก็จัดการศัตรูได้อย่างอยู่หมัด ไม่ว่าจะเป็นเม็กซิโก, โปแลนด์, ออสเตรเลีย และใน 3 นัดสุดท้ายที่ได้สำแดงฟุตบอลฉบับสกาโลนีอย่างแท้จริง ในเกมพบกับเนเธอร์แลนด์, โครเอเชีย และฝรั่งเศส ในนัดชิง

ลิโอเนล เมสซี
Lionel Messi (Photo by Odd ANDERSEN / AFP)

เมสซี เทพเจ้าผู้เป็นศูนย์กลางของทีม

นับตั้งแต่เข้ามาเป็นผู้จัดการทีม สกาโลนีพยายามสร้างทีมโดยมีเมสซีเป็นศูนย์กลางมาตลอด เพื่อสร้างสภาพแวดล้อมที่เก่งกาจและเต็มไปด้วยขุนศึกรุ่นน้องที่พร้อมจะวิ่งทุ่มเททุกอย่างเพื่อทีมชาติและรุ่นพี่ผู้เป็นแรงบันดาลใจ ให้ดาวเตะบัลลงดอร์ 7 สมัยได้ร่ายเวทมนตร์บนฟลอร์หญ้าอย่างเต็มที่

กัปตันทีมทัพฟ้าขาว วัย 35 กะรัต คว้ามาแล้วทุกแชมป์ ทั้งในระดับสโมสรและทีมชาติ โดยขาดเพียงถ้วยบอลโลกเท่านั้น ก่อนจะทำสำเร็จด้วยการคว้ามันอย่างยิ่งใหญ่ที่กาตาร์ 2022

นายใหญ่ชาวอาร์เจนไตน์ เปิดเผยว่า การได้พูดคุยกับเมสซีก่อนทัวร์นาเมนต์จะเริ่มนั้นเปลี่ยนแปลงทุกอย่าง เมื่อเราผ่านเข้ารอบฟุตบอลโลก เมสซีถ่ายทอดบางสิ่งบางอย่างที่แข็งแกร่งมาสู่พวกเรา ตัวเขาเองรับรู้ถึงความผิดหวังที่อาจจะเกิดขึ้นได้ สิ่งที่เขาบอกคือ เข้มแข็งเข้าไว้ ทำต่อไป แน่นอนว่ามันจะผ่านไปด้วยดี ถ้าไม่เป็นดั่งหวัง ก็ไม่เสียหายที่จะลองดู

ไม่เพียงเท่านั้น บรรดากองเชียร์ของอาร์เจนตินายังต่างพร้อมใจกันเชียร์และทำทุกอย่างเท่าที่ทำได้ เพื่อให้ราชันของพวกเขาบรรลุความสำเร็จนี้อย่างสวยงาม และในที่สุด เมสซีก็บรรลุความฝันในฟุตบอลโลก เมื่ออาร์เจนตินาเอาชนะการดวลจุดโทษกับฝรั่งเศสได้ โดยแฟนบอลทั่วโลกต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า เป็นนัดชิงที่ยิ่งใหญ่และสนุกที่สุดในประวัติศาสตร์ฟุตบอลโลก

เมสซีเป็นกุญแจแห่งความสำเร็จครั้งนี้อย่างไม่ต้องสงสัย จากการทำไป 7 ประตู และคว้าตำแหน่งแมนออฟเดอะแมตช์ถึง 5 นัด ตลอดทัวร์นาเมนต์ สร้างประวัติศาสตร์เป็นนักฟุตบอลคนแรกของโลกที่คว้ารางวัล Golden Ball ในศึกฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายถึง 2 สมัย หลังเคยได้ไปแล้วเมื่อปี 2014 นอกจากนี้ยังลงสนามมากสุดในประวัติศาสตร์ฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายแซงหน้า “ซูเปอร์แมน” อย่างโลธาร์ มัทเธอุสที่ 26 นัด

เมสซียืนอยู่บนจุดสูงสุดในอาชีพค้าแข้งของเขาแล้ว และอาจหมายถึงในวงการฟุตบอลด้วย ขณะที่อาร์เจนตินาก็กลับมาทวงบัลลังก์ได้ หลังจากหายไปตั้งแต่ยุค 80 แม้ฟุตบอลโลกหนนี้จะเริ่มต้นด้วยความเงียบเหงาและเสียงวิพากษ์วิจารณ์ แต่ก็สร้างความทรงจำที่ไม่มีทางลืม ท่ามกลางฉากแห่งการเฉลิมฉลอง การชูถ้วยเวิลด์คัพสีทองขึ้นฟ้า เมื่อเวลาผ่านไป หากพูดถึงกาตาร์ 2022 ทุกคนบนโลกจะต้องนึกถึงเมสซีเป็นอันดับแรกอย่างแน่นอน