เดอะ ปาร์ค (The PARQ) เป็นโครงการขนาดใหญ่ที่สร้างการเปลี่ยนแปลงของ “ทำเล” ในย่านคลองเตยให้ดูดีมีราคา โดยตั้งอยู่ริมถนนรัชดาภิเษกตัดกับถนนพระรามที่ 4 เป็นบิ๊กโปรเจ็กต์ที่พัฒนาโดยบริษัท ทีซีซี แอสเซ็ทส์ (ประเทศไทย) บริหารงานโดยบริษัท เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ โฮลดิ้งส์ (ประเทศไทย) ในเครือเฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ กรุ๊ป
สร้างสมดุลระหว่างมนุษย์และธรรมชาติ
อาคารเพื่อการพาณิชย์แห่งนี้ยังเป็นแห่งแรกของประเทศไทยที่ใช้เซ็นเซอร์อัจฉริยะและเทคโนโลยี IOT สร้างระบบแสงสว่างภายในอาคารสำนักงาน มีการติดตั้งหลอดไฟอัลตราไวโอเลต เป้าหมายเพื่อลดการใช้พลังงานและสร้างความยั่งยืนให้โลกใบนี้
- บริษัทดังประกาศปิดกิจการ ทุกสาขาทั่วประเทศ เลิกจ้างหลายชีวิต
- “มะพร้าว” ราคาพุ่งเป็นประวัติการณ์ ลูกเดียว 65-80 บาท เกิดอะไรขึ้น?
- ศาลสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด บุคคลนามสกุลดัง “ภัทรประสิทธิ์” ถูกฟ้องล้มละลาย
แนวคิดและการออกแบบต่างได้รับแรงบันดาลใจจาก “ธรรมชาติ” อันเป็นแก่นแท้ของทุกสรรพสิ่ง ที่ตีความออกมาเป็นผลงานศิลปะหลากหลาย ทั้งจากวัสดุธรรมชาติและปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ เป็นศิลปะที่กลมกลืนกับสภาพแวดล้อม
งานศิลปะแต่ละชิ้นที่อาคาร เดอะ ปาร์ค จึงมุ่งเชื่อมโยงธรรมชาติให้เข้ากับวิถีชีวิตในเมือง เป็นพื้นที่สำหรับการใช้ชีวิตที่มีสมดุล ผสานกับการออกแบบชุมชนเมืองให้เข้ากับความยั่งยืนที่ได้มาตรฐานระดับโลก กิจกรรมส่วนใหญ่ของที่นี่จึงเน้นตอบโจทย์การยกระดับคุณภาพของทุกชีวิต
จับมือ SWOOP BUDDY จัดงาน SWAP UP
เดอะ ปาร์ค จึงเป็นไลฟ์สไตล์มิกซ์ยูสแห่งใหม่ที่มุ่งพัฒนาออฟฟิศและรีเทลอัจฉริยะ ภายใต้แนวคิด “Life Well Balanced” ผู้นำด้านการออกแบบที่เป็นสากล เน้นความยั่งยืนเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ที่ได้รับมาตรฐาน LEED GOLD และ WELL CERTIFIED CORE GOLD แห่งแรกในไทย
ล่าสุดได้ร่วมกับ SWOOP BUDDY จัดกิจกรรม “SWAP UP” เปิดพื้นที่ให้ทุกคนนำเสื้อผ้า รองเท้า หนังสือ หรือของเล่นสภาพดีมาแลกเปลี่ยนกัน เพื่อลดวงจรการสร้างขยะ ต่อชีวิตสิ่งของชิ้นโปรดให้ใช้ได้นานขึ้น
“ประชาชาติธุรกิจ” ได้เก็บควันหลงของงานดี ๆ มาแชร์เป็นไอเดียของกลุ่มคนรุ่นใหม่ ซึ่งเป็นบรรยากาศสบาย ๆ เป็นกันเอง ภายในงานมีศิลปิน มูลนิธิและคอมมิวนิตี้สายรักษ์โลกชื่อดังมาร่วมงานอย่างคึกคัก โดยเดอะ ปาร์ค พยายามย้ำแนวคิดในการเป็นผู้นำส่งเสริมกิจกรรมด้านความยั่งยืน และเป็นศูนย์กลางผลักดันให้เกิด “คอมมิวนิตี้” คนรักสิ่งแวดล้อม
ผู้มาร่วมงานต่างเอ็นจอยกับการแลกเปลี่ยนเสื้อผ้า รองเท้า หนังสือ หรือของสะสมตามสไตล์ของตัวเอง โดยมีไอเท็มเด็ดจากศิลปินดัง อาทิ คุณนท พนายางกูร (@notep), คุณป่าน ชนารดี ฉัตรกุล ณ อยุธยา (@julibakerandsummer) รวมไปถึงอินฟลูเอนเซอร์สายแฟชั่นอย่าง คุณเกมส์ (@ihate.game) และคุณดาว (@cloudsstory) ที่ร่วมนำสิ่งของส่วนตัวมาแลกกันด้วย และสนุกกับ workshop แฮนด์เมดที่เพิ่มมูลค่าของชิ้นเก่าให้ดูเก๋ขึ้นไม่ซ้ำใคร
ส่วนสายช็อปก็มีบูทสินค้าแบรนด์ดังจากศิลปิน และคอมมิวนิตี้ผู้นำเทรนด์รักษ์โลกที่ขนเอาไอเท็มเด็ดมาให้เลือกซื้อกัน เช่น ร้าน Folk Charm, One More Thing, Pound For Long และ Circular เป็นต้น โดยมีการแสดงดนตรีสดช่วยสร้างบรรยากาศให้มีชีวิตชีวายิ่งขึ้น
แลกเปลี่ยนมุมมองเรื่องแฟชั่นกับความยั่งยืน
นอกจากนี้ยังมีกิจกรรมทอล์กที่เปิดโอกาสให้ทุกคนมาร่วมแลกเปลี่ยนมุมมองเรื่องแฟชั่น ไลฟ์สไตล์ และความยั่งยืนในธุรกิจแฟชั่น เป็นอีกหนึ่งไฮไลต์ที่จะกรุยทางเรื่องการบริโภคอย่างยั่งยืน เป็นการแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อมและสังคมในอุตสาหกรรมแฟชั่น
สำหรับสิ่งของที่ไม่ได้ถูกนำมาแลกเปลี่ยนหรือบริจาคภายในงานก็จะถูกส่งต่อให้กับ “มูลนิธิกระจกเงา” และ “ปันกัน” โดยมูลนิธิยุวพัฒน์ และมูลนิธิโอกาสที่สองแห่งชีวิต (Second Chance Bangkok) เพื่อไปบริจาคให้ผู้ยากไร้
ส่วนรายได้จากงานนี้ (บางส่วน) จะถูกนำไปมอบให้กับมูลนิธิ Second Chance Bangkok เพื่อนำไปพัฒนากิจกรรมสร้างเสริมรายได้ให้กับชุมชนคลองเตย ซึ่งเป็นชุมชนแออัดขนาดใหญ่ที่สุด
กิตติพงษ์ ประชุมพล หัวหน้างานระดมทุนร้านแบ่งปัน มูลนิธิกระจกเงา กล่าวว่า งานนี้ทำให้ได้เห็นแนวคิดใหม่ ๆ เรื่องการแลกเปลี่ยนและนำสิ่งของเครื่องใช้มาหมุนเวียนอีกรอบ เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด
“ทำให้ผมตระหนักมากขึ้นว่าเราสามารถมีส่วนร่วมในการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมได้อย่างง่าย ๆ เพียงแค่เปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภคของเรา ต้องชมทีมงานที่สร้างสรรค์งาน SWAP UP ขึ้นมา เป็นการช่วยสร้างพื้นที่ดี ๆ ให้คนรักสิ่งแวดล้อมมาร่วมพบปะ แลกเปลี่ยนสิ่งของกันและกัน ซึ่งได้รับการตอบรับดี และมีโอกาสจะขยายไปสู่คอมมิวนิตี้อื่น ๆ ต่อไป”
ฐาปนีย์ สินาดโยธารักษ์ ผู้อำนวยการ ร้านปันกัน กล่าวว่า “ร้านปันกันจะนำเสื้อผ้าสภาพดีเหล่านี้ไปเปลี่ยนเป็นทุนการศึกษาให้กับนักเรียนที่ขาดโอกาส ในมูลนิธิยุวพัฒน์ ได้มีโอกาสเรียนต่อจนจบชั้น ม.6 หรือ ปวช.3 เพื่อให้เยาวชนไทยได้มีโอกาสต่อยอดชีวิตด้วยการศึกษา”
การรวมพลังของคอมมิวนิตี้ที่เล็งเห็นถึงความยั่งยืนทางด้านแฟชั่น เป็นสิ่งที่เราทุกคนควรสนับสนุน เพื่อให้การใช้ชีวิตของเรารบกวนสิ่งแวดล้อมให้น้อยที่สุด เมื่อเราได้สิ่งที่เราต้องการจากธรรมชาติมาแล้ว เราก็ควรใช้ให้เกิดประโยชน์มากที่สุด ไม่ทิ้งขว้าง ไม่ดูดาย การหมุนเวียนหรือแลกเปลี่ยนเป็นทางออกที่ดี
ขอเป็นอีกหนึ่งเสียงที่เป็นกำลังใจและแรงบันดาลใจให้คนรักษ์สิ่งแวดล้อมเดินหน้าต่อไป ทำกิจวัตรและกิจกรรมผ่านสิ่งใกล้ตัวของเราเอง ทั้งเสื้อผ้า เครื่องใช้และของประดับ
SWAP UP เป็นอีเวนต์คอมมิวนิตี้แฟชั่นที่ช่วยสร้าง “พลังบวก” ได้อย่างมาก เชื่อว่า 422 ชีวิตที่มาร่วมกิจกรรมแลกเปลี่ยนเสื้อผ้า หนังสือ และของเล่นตลอด 3 วันที่ผ่านมา ต่างได้รับความสุขและอิ่มเอมใจ
เพราะเสื้อผ้า 2,352 ชิ้น ได้ถูกนำมาแลกกัน และอีก 2,393 ชิ้น ได้ถูกแลกเปลี่ยนกลับไปยืดอายุการใช้งานให้นานขึ้นอีก ซึ่งดีต่อใจและดีต่อโลก