ดร.สุเมธ ตันติเวชกุล ในวัย 86 ปีกับมุมมอง ทางรอด ‘เศรษฐกิจไทย’

ดร.สุเมธ ตันติเวชกุล
ดร.สุเมธ ตันติเวชกุล
สัมภาษณ์พิเศษ
เรื่อง : ธีรดา ศิริมงคล
ภาพ : ชินวัฒ สมหวัง , ภูริณัฐ พูลธัญกิจ 

เพราะชีวิตนี้ชะตาลิขิตทำให้ ดร.สุเมธ ตันติเวชกุล กรรมการและเลขาธิการมูลนิธิชัยพัฒนา ในวัย 86 ปี ยังคงมีชีวิตที่อลเวง แข็งแรง และยัง “ทำงาน ทำงาน และทำงาน” อย่างต่อเนื่อง แม้จะเหนื่อย แต่เป็นการเหนื่อยแบบเต็มใจและปีติ

ตลอดเวลาจากการทำงานหนัก “คิด พูด และทำ” มาร่วม 40 ปี วันนี้ “ประชาชาติธุรกิจ” ได้รับเกียรติจากท่านเลขาธิการมูลนิธิ ในการให้สัมภาษณ์พิเศษถึงเส้นทางชีวิต 86 ปี พร้อมสะท้อนมุมมองต่อสภาพเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง อย่างตรงไปตรงมา

ผมอายุ 86 ปีแล้ว ชีวิตยังอลเวงอยู่นะ ต้องทำงาน งานยังไม่เสร็จ เสร็จเรื่องหนึ่งก็ทำต่ออีกเรื่องหนึ่ง การพัฒนาคือต้องทำต่อไปเรื่อย ๆ จากที่ไม่เคยมีความรู้เรื่องดิน น้ำ ลม ไฟ ลมฟ้าอากาศ ก็ได้รับโอกาสมีประสบการณ์ใหม่ ๆ ในทุกช่วงชีวิต

ชีวิตผมจะเปลี่ยนแปลงในทุก ๆ 12 ปี มีทั้งเรื่องดี-ไม่ดี ชีวิตคนเราจะมีแต่เรื่องดีอย่างเดียวไม่ได้ วันร้ายก็ต้องมีด้วย เพราะนี่คือชีวิตจริง

ตามที่หนังสือ “ชีวิตนี้ชะตาลิขิต” บันทึกไว้ใน 7 รอบนักษัตร หรือ 84 ปี ตั้งแต่เกิด วัยเยาว์ การศึกษา การเดินทางสู่โลกกว้าง และกลับมารับใช้แผ่นดินด้วยการพัฒนา โดยได้รับพระเมตตา เป็นผู้ถวายงานสนองเบื้องพระยุคลบาท พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร และสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี จวบจนถึงปัจจุบัน

อย่างปี 2482-2494 เป็นช่วงวัยเยาว์ ชีวิตก็มีรสหวานปนขม ตั้งแต่แรกเกิดถึงก่อนวัยเรียนที่ต้องเผชิญกับความเจ็บป่วยด้วยร่างกายที่ไม่ค่อยแข็งแรงนัก

ปี 2494-2512 เป็นช่วงเปิดประตูสู่โลกกว้าง ชีวิตวัยเรียนที่ต้องเดินทางไปศึกษาต่อในหลายประเทศ เนื่องจากเกิดภัยสงคราม

ADVERTISMENT

ปี 2512-2518 ได้กลับสู่มาตุภูมิบ้านเกิด เป็นช่วงชีวิตของการทำงานในไทย เริ่มรับราชการที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สภาพัฒน์) และงานเลขานุการคณะกรรมการพัฒนาเพื่อความมั่นคงในระดับพื้นที่กองทัพทั้ง 4 ภาค และจุดเริ่มต้นของชีวิตกลางสนามรบ

“การใช้ชีวิตทำงานในป่า ขึ้นเขาลงห้วยสมัยหนุ่ม ๆ กลายเป็นอานิสงส์ที่ทำให้ผมมีสุขภาพแข็งแรงจนถึงทุกวันนี้ แข้งขายังลุกนั่งได้”

ปี 2518-2530 รอนแรมในสมรภูมิ สมัยดำรงตำแหน่งเลขานุการสำนักงานเลขานุการคณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ (สำนักงานเลขานุการ กปร.) และเป็นผู้อำนวยการกองวางแผนเตรียมพร้อมด้านเศรษฐกิจในสภาพัฒน์ไปพร้อมกัน

ชีวิตการทำงานที่ต้องวางแผนรับมือสงครามและปฏิบัติงานในสนามรบจริงถึง 11 ปี และเริ่มต้นการเป็นนักเรียนของในหลวงรัชกาลที่ 9 ยาวนานถึง 35 ปี

ปี 2524-2542 ถวายงานด้านการพัฒนา ทรงมีพระราชดำริก่อตั้งมูลนิธิชัยพัฒนา และโปรดเกล้าฯ ให้เป็นเลขาธิการมูลนิธิ และเป็นเลขาธิการคณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ (สำนักงาน กปร.) เป็นชีวิตการทำงานแบบซี 22

ปี 2542-2554 รางวัลแห่งชีวิต ได้รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ปฐมจุลจอมเกล้าวิเศษชัยพัฒนา และการทำงานอย่างไม่มีวันเกษียณในตำแหน่ง เลขาธิการมูลนิธิชัยพัฒนา

ปี 2554-2566 ฝากไว้ให้สานต่อ โดยเข้าเฝ้าฯ ถวายรายงานสถานการณ์ต่าง ๆ ณ โรงพยาบาลศิริราชครั้งสุดท้าย และรับสั่งว่า “สุเมธ งานยังไม่เสร็จนะ”

อย่าลืมฐานความเป็นไทย

ถามว่าผมได้เรียนรู้อะไรในการถวายงาน ต้องบอกว่า “สิ่งที่น่าทึ่งของพระองค์ท่าน คือ ท่านคิดทันสมัย แต่อยู่บนฐานของความเป็นไทย อันนี้เป็นหลักการที่ผมว่าดี และเมืองไทยน่าจะทำอย่างนั้น”

ที่ทะเลาะเบาะแว้งกันทุกวันนี้ ทั้งในเรื่องการเมือง เศรษฐกิจ สังคม เพราะเราพัฒนาตามฝรั่ง แต่ไม่ใช่บนฐานของเรา เราลืมความเป็นไทยไป รากฐานบ้านของเราคือความเป็นไทย จะต่อเติมบ้านให้ทันสมัยยังไง แต่รากมันเป็นรากไทย อย่าลืม

ตอนนี้สภาพสังคม เศรษฐกิจไทย ตอบสั้น ๆ คำเดียวว่า “เละ” น่าเศร้านะ แต่จะทำอย่างไรได้บ้างนั้น ป่วยการที่จะแนะนำ สุดปัญญาจริง ๆ

สิ่งที่พระองค์ท่านสอน ทุกวันนี้ก็ยังนั่งบรรยายเกือบวันเว้นวัน เบื่อ เหนื่อย แต่ก็จะไม่หยุด ซึ่งท่านสอนไว้หมดแล้ว ไม่ว่าจะเป็นปัญหาดิน น้ำ ลม ไฟ สังคม เศรษฐกิจ บางคนก็ฟังแล้วน้ำหูน้ำตาไหล แต่พอน้ำตาแห้งก็ลืมหมด

จะให้ทำอย่างไรเรื่องการบริหารจัดการน้ำ ท่านก็สอนไว้หมดแล้ว เดี๋ยวน้ำท่วม น้ำแล้ง ตอนหลังเป็นอยู่อย่างนี้ น้ำท่วมแล้ว อีกอาทิตย์ถัดมาน้ำแล้งละ น้ำขาดเหรอ ? ก็มันเพิ่งท่วม ทำไมไม่เก็บกักน้ำ เวลามีไม่เก็บ สูบทิ้งหมด ใช่หรือเปล่า ทำเหมือนไม่มีเลยแบบทะเลทราย แต่พื้นที่แห้งแล้ง ไม่กี่วันก่อน น้ำก็เพิ่งท่วม ฟ้องว่าไม่มีระบบการบริหารที่มีประสิทธิภาพ

พัทยานี่ฝนตกโครม แป๊บเดียวน้ำท่วม มองเห็นทะเลอยู่ข้างหน้า แต่ไม่มีที่ระบาย ก็ไม่ได้บริหารจัดการ เอาตึก ถนนไปขวางหมด ถ้าเจาะมันน้ำก็ไหลพรวดลงไปก็จะไม่ท่วม นี่เป็นตัวอย่าง

ผมไม่ใช่ผู้ชำนาญการด้านนี้ แต่พอเห็นแล้ว ปัญหานี้ไม่ใช่สิ่งที่สลับซับซ้อนอะไรเลย ถ้าน้ำท่วมก็แค่ทำทางให้น้ำระบาย มันก็ไม่ท่วม อย่าสู้ อย่าขวางธรรมชาติ พระองค์สอนให้มีความเคารพ “ภูมิสังคม”

ถามว่า งานที่ผ่านมา ภาคภูมิใจอะไรมากที่สุด ก็ต้องบอกว่า ภาคภูมิใจทุกวันอยู่นะ ถ้าไปเปิดแฟ้มประวัติผมจนถึงวันนี้ เวลาผ่านไปเกือบ 40 ปี ตั้งแต่ปี 2524 ที่ถวายงานมาก็เกิดความเป็นปีติทุกวัน

ถ้าจิตไม่แข็ง ทำไม่ได้หรอก มันมีแต่ความทุกข์ คนนั้นคนนี้ลำบาก ไม่มีเรื่องดีสักเรื่อง แล้วพอพระราชทานความช่วยเหลือ โดยมีเราเป็นตัวพา พอเห็นเขาพ้นทุกข์ ไม่มีน้ำกลายเป็นมีน้ำ ยากจนกลายเป็นหลุดความยากจน จึงเกิดปีติ

ความสนุกสนานผมจะต่างจากคนอื่น ความสนุกบางคนอาจไปเที่ยว แต่ความสนุกของผมถูกกำหนดไว้อย่างนี้ ทำให้ปลอบใจเราด้วยว่า มีคนที่ทุกข์กว่าเราเยอะ

ถ้าจะแนะนำกับเด็กรุ่นใหม่ คงพูดคนละภาษาแล้ว แต่แปลกที่หลายภาคส่วน ยังจัดให้ผมคุยกับคนรุ่นใหม่อยู่เรื่อย ๆ ผมก็คุยได้ และรู้สึกว่า พวกเด็กรุ่นใหม่รับผมได้ หลักฐานคือมีการรีเควสต์ ขอแอดเป็นเพื่อนในเฟซบุ๊กด้วย

ประการแรก ผมสื่อบนฐานของความเข้าใจ วันนี้เราว่าเด็กชอบคิดพิเรนทร์ คิดแปลก จริง ๆ แล้วตอนเราเป็นเด็ก เราก็คิดอย่างนี้ จะไปว่าเขาทำไม

ตอนผมเด็ก ผมบ้ายิ่งกว่า ทั้งแหกคอก ดูถูกผู้ใหญ่โง่เง่าเต่าตุ่น วันนี้กรรมตามมาแล้ว (หัวเราะ) มาพร้อมอายุ พร้อมประสบการณ์ เพราะฉะนั้นผมคุยได้ พอผมคุย พวกเขาก็เฮ สนุกกัน เราปรับตัวได้

ประการที่สอง เราสอนให้คนรุ่นใหม่อย่าลืมราก สมัยใหม่ได้ แต่อย่าลืมความเป็นไทย ทำเป็นอินเตอร์ คนอื่นเขาไม่อินเตอร์กับเรา อเมริกันเขาอยากเป็นไทยมั้ย ? ของใครของมัน

มีอยู่ปีจำได้ นัดเจอกันที่สมุทรสงคราม อัมพวา คนเดินเต็มเลย ผมถามมีอะไรใหม่มั้ย ? เรือนริมน้ำก็เก่า สวนมะพร้าวมีมาเป็นพันปี แต่ทำไมคนมาล่ะ แปลกนะ ทำไมคนอยากมาดูของเก่า จริง ๆ ไม่ได้เก่าหรอก ฐานมันเก่า วันดีคืนดีเราได้รับห้องแถวมา 32 ห้อง กรมสมเด็จพระเทพฯ คิดถามเราจะทำอะไรดี

คนสมัยใหม่คิดแต่เรื่องเงิน เสนอรื้อทิ้ง เพราะซ่อมเป็นสิบล้าน ไม่คุ้ม กรมสมเด็จพระเทพฯ ทรงคิดอีกมิติหนึ่ง เรือนริมน้ำนี้หายาก ซ่อมเถอะ 14-15 ล้าน รักษาทรงเดิมเอาไว้ คนเดิมเช่า คิดค่าเช่าตามเดิม

ถามเขาว่า ป้าทำอะไร ทำขนมผิงในครัว เราถามต่อ เอาออกมาทำข้างนอกได้มั้ย ? เอาของที่เรามีมาไว้ฉากหน้า คนก็มาดูกัน ของเก่าหมดเลย ไม่มีอะไรใหม่เลย แค่เอามาจัดฉากใหม่ เพราะฉะนั้นอย่าลืมราก

เรื่องอาหารการกินของบ้านเราก็สุดยอด เรามีดี แต่ไม่รู้จักขาย ครัวไทยสู่ครัวโลกไปแต่สากกะเบือ-ครก อาหารไม่ไป (หัวเราะ) หยอกให้หลายหนแล้ว

เศรษฐกิจพอเพียง กับภาวะเศรษฐกิจแบบนี้ จะแนะนำอย่างไรก็ต้องกลับมาดูฐานของเรา เวลานี้เราอยู่ในลักษณะที่ไม่ได้พัฒนา ขอโทษนะ ผมไม่อยากพูดเรื่องการเมืองอะไร เพราะอยู่มูลนิธินี้ เขาห้ามยุ่งเรื่องการเมือง ใจผมก็ไม่เคยยุ่งเลย ในชีวิตผมได้รับการเสนอตำแหน่งการเมือง ปฏิเสธทุกครั้งเลย

ประเด็นหลักสากล เรามองการพัฒนาประเทศ ผมอยู่สภาพัฒน์มอง 5 ปี 20 ปี นักการเมืองมองแค่ 4 ปี ไม่รู้จะทำอย่างไรเหมือนกัน เพราะเขาอยู่ 4 ปีตามวาระ เมื่อหมด 4 ปี ต้องได้รับเลือกนะ

เพราะฉะนั้น ทุกอย่างที่ทำก็ต้องพยายามเอาใจคนที่จะเลือกที่สุด เป้าหมายของประเทศชาติระยะยาวที่ทำแล้ว ต้องขัดใจคน ต้องวางกฎระเบียบก็ไม่ทำ จะให้นักการเมืองคิดก็ลำบาก

ธรรมชาติไม่เหมือนกัน เราคิดถึงอนาคตลูกหลาน เขาคิดอีก 4 ปีข้างหน้าจะได้รับเลือกอีกมั้ย ? จะไปโทษเขาก็ไม่ได้ ไม่ว่าประเทศไหนก็เป็นแบบนี้หมด เอาง่ายเข้าว่า ทำให้คนอ่อนแอ การพัฒนาชนบทต้องให้ความรู้ พัฒนาความสามารถ เพื่อสร้างอาชีพ สร้างรายได้

เศรษฐกิจ-ให้เอกชนนำ

ทุกวันนี้ภาคเอกชนมีส่วนสนับสนุนการพัฒนาประเทศมากขึ้น เราต้องยอมรับ ประเทศตอนนี้นำโดยเอกชน ซีกราชการนั้น ตอนเริ่มต้นไม่มีผู้นำ หรือคนที่เก่งที่สุด มีฐานะที่สุดจะไปเรียนเมืองนอกเมืองนา พระองค์ท่านส่งพระราชบุตร พระราชธิดาไปเรียน เรียนกลับมาเป็นผู้นำ ร้อยกว่าปีผ่านมาแล้ว ตอนนี้ราชการก็ควรถอยมาอยู่ข้างหลัง นี่พูดในฐานะเป็นข้าราชการมาตลอดชีวิต

ตอนนี้คนดีที่สุดไปอยู่ที่ไหน ข้าราชการเหรอ ? เอกชนเขาเข้าไปรอรับนิสิตนักศึกษาหน้ามหาวิทยาลัยแล้ว เขากวาดคนเก่งไปหมดแล้ว อยู่ที่นี่เงินเดือนเป็นหมื่น อยู่เอกชนเงินเดือนเป็นแสน แล้วจะให้เขาไปไหน

เพราะฉะนั้น ข้าราชการต้องถอยแล้วล่ะ ผมไปบรรยายกับราชการก็บอกเขาว่า หยุดต่อยได้แล้ว เราแก่แล้ว เอกชนเขาหนุ่มกว่า ให้เขาต่อยไป ไม่อยากลงเวทีใช่ไหม ไม่ต้องต่อยเอง เป็นพี่เลี้ยง เป็นคนให้น้ำก็ได้

ในฐานะที่แก่กว่า ก็ขอชี้ทาง อย่าไปคุมเขา อย่าไปมีกฎระเบียบอะไรมากเกิน เอกชนเขาลำบาก ไม่นับเรื่องทุจริต คอร์รัปชั่นนะ ขอโทษ พูดตรงไปตรงมา งั้นเราเป็นพี่เลี้ยง กฎระเบียบสนับสนุนเอกชนให้ทำอะไรที่ดีขึ้นดีมั้ย ?

ต้องยอมรับว่า เขาเล่นบทนำแล้วในเวลานี้ เราต้องดูว่า เราเหมาะกับอะไร อย่าไปทะเยอทะยานต้องมีโน่นนี่ ยืนบนขาตัวเองให้ได้ ต้องยอมรับว่า ประชาชนเป็นฐานเกษตร แต่เราไม่สนใจด้านนี้ก็เลยอ่อนแอลง เวลานี้ย่ำแย่เต็มที

ลองสังเกตดูจะเห็นมหาเศรษฐีนี่ทำเรื่องอาหารอยู่ยากเลย เพราะฉะนั้นเอาจริง ๆ แล้ว ฐานตรงนี้ถ้าเชื่อมโยงสู่ดิน น้ำ ลม ไฟ อุดมสมบรูณ์ แต่เขตที่ทำเกษตรได้ อย่างทุ่งรวงทอง หรือที่อื่น ๆ บางที่มีแต่โรงงาน บ้านจัดสรร ผิดฝาผิดตัวไปหมด อย่างทุเรียน รายได้ดี แต่เราคิดแต่อย่างอื่น โดยลืมราก ควรกลับมาพัฒนาสมบัติเดิมของเรา ดูความถนัดเราเป็นหลัก

ส่วนเรื่องท่องเที่ยวและนักท่องเที่ยวจีนที่เป็นตลาดใหญ่ นิสัยคนไทยเราพึ่งแต่คนอื่น ไม่มีความเป็นตัวของตัวเอง เรื่องนี้ผมพูดมาก่อนแล้ว เช่น เรื่องทุเรียน ถ้าจีนไม่ซื้อขึ้นมาจะทำยังไง จะขายใคร เพราะตลาดใหญ่อยู่ที่จีน หลังโควิดมาก็เริ่มกังวล นักท่องเที่ยวไม่มาแล้ว ไปบรรยายหลายแห่งก็ถามให้คิด เราจะเจาะตลาดไหนได้บ้าง นอกจากจีน

โอกาสใหม่ : สังคมสูงวัย

อีกเรื่อง โจทย์ข้างหน้าเห็นพูดปาว ๆ Ageing Society สังคมผู้สูงอายุ คนแก่เต็มโลก ดูเขาเป็นลูกค้าบ้างจะดีมั้ย ? เรามีสินค้าอะไรบ้าง

ขณะที่เรามีโรงแรม มีโรงพยาบาลชั้นหนึ่ง ทำไมไม่จับมือกัน เปิดรับลูกค้ากลุ่มนี้ที่อยากมาเกษียณในไทย เราจะจัดการชีวิตและความเป็นอยู่ที่ดีให้เรียบร้อยหมดเลย เพราะเงินเขาในต่างประเทศอยู่ไม่ได้ แต่เงินจำนวนเดียวกันนี้ ถ้ามาที่ไทยอยู่ได้แบบสวรรค์เลย

เดี๋ยวนี้คนดูแลคนแก่ได้เงินมากกว่าคนจบปริญญาตรี อยากให้เชื่อมโยงธุรกิจ แล้วผูกกับเกษตรกร เพราะคนสูงวัยต้องกินผักผลไม้ปลอดสารพิษ ทุกสิ่งอย่างต้องมีคุณภาพ ตลาดนี้ไม่มีไฮซีซั่น-โลว์ซีซั่น เป็นโอกาสของตลาดใหม่ ตลอดทั้งปี

อย่างหลักสูตรผู้นำการพัฒนาอย่างยั่งยืน หรือ นพย. เป็นการสนองพระราชดำริในกรมสมเด็จพระเทพฯ ที่พระราชทานพระราชกระแสให้สำนักงานมูลนิธิชัยพัฒนา จัดทำโครงการอบรมหลักสูตรผู้นำของมูลนิธิ เพื่อสร้างเครือข่ายการพัฒนาชุมชนยั่งยืน

เพราะโลกทุกวันนี้เผชิญกับการเปลี่ยนแปลงที่เร็วมาก ทั้งสังคม ทรัพยากรธรรมชาติที่ถูกทำลาย เกิดภัยพิบัติ และกระแสประเทศต่าง ๆ ซึ่งเป็นโอกาสและข้อจำกัด ล้วนมีผลต่อความอยู่รอด เราต้องเร่งสร้างภูมิคุ้มกัน สร้างผู้นำคลื่นลูกใหม่ เพื่อนำพาสังคมไปสู่การพัฒนาอย่างสมดุล และเน้นย้ำเรื่อง “เข้าใจ-เข้าใจตนเอง รู้เขา และรู้เรา”

ซึ่งภาคเอกชน ผู้ประกอบการก็มาเรียน และทำการบ้าน ถอดบทเรียน Key Success ของการพัฒนาชุมชนในแต่ละพื้นที่ เช่น ผลไม้เมืองไทยมีมากล้น แต่ละเอกชนก็ช่วยกันจัดการบริหารในเชิงธุรกิจให้ผลไม้เข้าถึงคนไทยด้วยกัน หรือนักท่องเที่ยวได้เร็วที่สุด เกษตรกรก็ได้รับประโยชน์ไปด้วย เป็นต้น

ถามว่ามีใครที่มาเรียน ก็มี คุณฐาปน สิริวัฒนภักดี กลุ่มไทยเบฟฯ เป็นประธานรุ่น คุณสุพัตรา จิราธิวัฒน์ ผู้บริหารกลุ่มเซ็นทารา และ คุณลักขณา นะวิโรจน์ ประธานโครงการสุขสยาม เป็นต้น

จับมาเรียนกับผู้นำชาวไร่ ชาวนา และนักวิชาการอาจารย์มหาวิทยาลัย ตอนนี้ไม่ว่าอยู่ระดับไหน กลุ่มไหน เป็นเพื่อนกันทั้งหมด แลกเปลี่ยน เรียนรู้ ประสานสนับสนุนกันและกัน “ประโยชน์สุข” ก็เกิดขึ้นในชาติบ้านเมืองอย่างยั่งยืนตลอดไป