วรวิทย์ ศิริพากย์ “ปัญญ์ปุริ” แบรนด์ไทยระดับโลก

รุ่งนภา พิมมะศรี : เรื่อง

“ทำไมไม่มีแบรนด์ไทยไปอยู่ระดับโลก” คำถามของผู้ชายคนหนึ่งที่เป็นความท้าทายและเป็นเป้าหมายของเขาในเวลาเดียวกัน

คำถามนั้น เขาถามเมื่อสิบกว่าปีที่แล้ว ไม่นานหลังจากนั้นเขาก็เดินหน้า สร้างแบรนด์สินค้าของเขาเอง โดยมีเป้าหมายคือเป็นแบรนด์ไทยในระดับโลก

แบรนด์ที่ว่าคือ “ปัญญ์ปุริ (Panpuri)” แบรนด์สกินแคร์ ผลิตภัณฑ์เสริมความงาม และผลิตภัณฑ์สปาซึ่งปัจจุบันประสบความสำเร็จเป็นแบรนด์ระดับลักเซอรี่ที่ได้รับเลือกเข้าไปใช้ในโรงแรมและสปาหรูทั้งในและต่างประเทศ โดยมีตลาดใหญ่ ๆ อยู่ที่ยุโรป อีกทั้งยังได้วางขายในห้างชั้นนำของโลก อย่าง ห้างแฮร์รอดส์ ประเทศอังกฤษ, ห้างแกลเลอรี่ ลาฟาแยตต์ ประเทศฝรั่งเศส, ห้างอิเซตัน มิตซูโกชิ ประเทศญี่ปุ่น เป็นต้น

วรวิทย์ ศิริพากย์ ชายหนุ่มวัย 42 ปี ผู้ก่อตั้ง ปัญญ์ปุริ เล่าว่า เขาเรียนจบด้านเศรษฐศาสตร์ที่แคนาดา จากนั้นไปทำงาน Management Consultant เป็นที่ปรึกษาด้านการบริหารจัดการและวางกลยุทธ์ธุรกิจ ที่นิวยอร์ก

เขาบอกว่าตอนอยู่นิวยอร์กทำงานหนักมาก แทบไม่มีเวลาดูแลตัวเอง เวลาอาบน้ำ 5-10 นาทีคือเวลาพักผ่อนอันน้อยนิดที่เขามี และเขาชอบผลิตภัณฑ์สกินแคร์มาตั้งแต่ไหนแต่ไร เพราะรู้สึกว่ามันช่วยให้ผ่อนคลาย นั่นคือจุดเชื่อมโยงความสัมพันธ์แรก ระหว่างตัวเขากับธุรกิจที่เขาทำ

ต่อมาหลังเหตุการณ์ 9/11 เขาย้ายจากอเมริกาไปเรียนโทที่อิตาลี ตอนทำทีซิสเขาทำเรื่องการวิเคราะห์ว่าประเทศไหนมีจุดแข็ง

ในธุรกิจด้านไหน และเลือกวิเคราะห์ประเทศไทย โดยวางธุรกิจสปาไว้อันดับ 1 และธุรกิจสุขภาพความงามเป็นอันดับ 2 เขาวิเคราะห์ว่าสองธุรกิจนี้จะเป็นธุรกิจที่แข็งแรงของประเทศไทยในอนาคต เพราะว่ามีแฟกเตอร์ซัพพอร์ตมากมาย ไม่ว่าจะด้านทรัพยากร ความรักสวยรักงามของคนไทย ศาสตร์ของไทยที่มีมายาวนาน และเรื่องความใส่ใจในการบริการ นั่นคือจุดเชื่อมโยงต่อมา

“ทำงานอยู่อิตาลีพักหนึ่งก็อยากกลับบ้าน ก็กลับมาทำงานที่เมืองไทย และคิดจะสร้างธุรกิจของตัวเอง คิดว่าต้องทำธุรกิจที่เกี่ยวกับความชอบของเราและเกี่ยวกับต่างประเทศ เพราะเราอยากเดินทางไปมา ตอนแรกคิดว่าจะทำเฟอร์นิเจอร์ เพราะชอบของตกแต่งบ้าน แต่พอเข้าไปดูจริง ๆ เราไม่เก็ต ไม่ได้อินขนาดนั้น จนไปเจอโรงงานของเพื่อนทำผลิตภัณฑ์สกินแคร์อยู่ พอเราไปจับต้องลองคุยดู เราเก็ตหมดเลย เหมือนได้เจอสิ่งที่คุ้นเคยมานาน

มีไอเดียมากมายเต็มไปหมด หัวแล่นเลย แล้วเราก็คิดว่าทำไมไม่มีอะไรของไทยที่ไปอยู่ในระดับโลกได้” นั่นคือจุดที่เขารู้ว่าจะทำอะไร

“รู้สึกว่าเมืองไทยมีอะไรเจ๋ง ๆ หลายอย่าง ถ้าเรากลับไปดูรากตัวเองแล้วโมเดิร์นไนซ์ขึ้นมานิดหนึ่งให้ฝรั่งเข้าใจง่ายมันน่าจะโอเค นั่นเป็นสาเหตุที่ทำปัญญ์ปุริ” เขาบอกต่อ

“ตอนนั้นอายุ 28 ครับ ก็ยังบ้า ๆ อยู่ คิดว่าทำไปสักสองปีทำตามใจฝัน ถ้ามันไม่เวิร์กก็กลับไปทำงานบริษัทก็ไม่เสียหาย ถือว่าใช้เงินซื้อความรู้ไป ก็เลยทำ มีฝันตั้งแต่วันนั้นว่าอยากไปอยู่ระดับโลกให้ได้”

“จากไม่รู้อะไรเลย ก็ไฟน์เอาต์ทุกอย่าง ตอนนั้นมีงานแฟร์ของกรมส่งเสริมการส่งออกที่เขาให้แบรนด์ต่าง ๆ ไปออกงาน ผมก็ไปสมัครทั้งที่ยังไม่มีอะไรเลย มีแต่ไอเดีย มีเวลาห้าเดือนต้องทำให้ได้ ต้องเอาต้นแบบไปรับออร์เดอร์มาให้ได้ ก็เริ่มทำ ตั้งชื่อแบรนด์ วางโครงสร้างดีไซน์ทุกอย่าง ขอให้เพื่อน ๆ พี่ ๆ ช่วย นี่คือข้อดีของความเป็นไทย ทุกคนช่วยกันโดยไม่ต้องใช้เงินทุนมาก ก็ทำออกมาเป็นปัญญ์ปุริ ในงานแฟร์วันนั้นก็ได้ลูกค้าเลย ตั้งแต่วันที่เรายังไม่รู้จักเลยว่าการส่งออกคืออะไร แต่พอรับออร์เดอร์มาแล้วเราก็ต้องรีบทำ ตอนนั้นก็นั่งทำเองทุกอย่างก็สนุกสนาน จนทำเป็น จนมาเป็นเหมือนปัจจุบันตั้งแต่มีร้านแรก พนักงานคนแรก จนวันนี้เรามีพนักงาน 300 คนแล้ว”

วรวิทย์ตั้งใจให้ปัญญ์ปุริจับตลาดพรีเมี่ยม ซึ่งคีย์ซักเซสคือคุณภาพ ส่วนเหตุผลที่เลือกต้องเป็นพรีเมี่ยม เขาบอกว่า

“มาจากหลายปัจจัย หนึ่ง-คือเริ่มจากความชอบส่วนตัว ผมเริ่มจากความชอบเสมอ ถ้าให้ผมทำแมส ผมทำแล้วเจ๊งแน่นอน เคยพยายามทำแล้วด้วย เคยมีดีพาร์ตเมนต์ในบริษัทมากระซิบว่าทำแมสโปรดักต์เข้าเซเว่นฯ กัน เราก็ทำ แตกไปทำอีกแบรนด์ ก็เจ๊ง เราไม่เก็ต ก็กลับมาคิดว่าเราควรเชื่อตัวเองตั้งแต่แรก เรารู้อยู่แล้วว่าเราเป็นคนไม่ชอบคุยกับคนเยอะ ๆ คุยไม่เป็น ดูนิสัยตัวเอง กินข้าวกับเพื่อนสิบคน เราไม่ไป ไม่ใช่เวย์เรา ถ้าไปสองคนแล้วเรารู้จักเขาแบบลงลึก อันนี้เราไป อันนี้คือเวย์ของเรา นี่คือแบรนด์เรา เราไม่ได้คุยกับคนทุกคน เราคุยกับเฉพาะคน พอเราเข้าใจเขา เราก็เสิร์ฟเขาได้ตรงจุด เพราะเราทำสิ่งที่เราเข้าใจ

“สอง-ด้วยความบ้าบิ่นของตัวเอง อยากได้โปรดักต์ที่โดนเราจริง ๆ ผมว่าการทำในเซ็กเมนต์ที่เป็นลักเซอรี่มันไม่มีข้อจำกัดเรื่องคอสต์เท่าไหร่ เราดูก่อนว่าอะไรมันดีที่สุด อะไรมันตอบโจทย์ที่เราอยากให้เป็น ถ้าแมสมันมีที่ให้เล่นน้อยหน่อย มันจะถูกจำกัดด้วยอะไรหลายอย่าง มันทำไม่ได้ด้วยต้นทุน แต่ลักเซอรี่มันจะมีช่องทางให้เล่น ปล่อยของตามความบ้าบิ่นของเราได้

“สาม-ในด้านธุรกิจ ถ้าเป็นเครื่องสำอางระดับลักเซอรี่ มันก็ไม่ทำให้กระเป๋าฉีกเหมือนซื้อกระเป๋าซื้อนาฬิกา ฉะนั้นเวลาเศรษฐกิจแย่ลูกค้าจะหยุดซื้ออะไรชิ้นใหญ่ ๆ แต่ไม่หยุดสวย สำหรับคอสเมติก อินดัสตรี ผมว่าโดยทั่วไปเรื่องเศรษฐกิจไม่ได้กระทบเราเท่าไหร่ เพราะว่าความสวยงามเป็นสิ่งที่คนอยากมีอยู่ตลอดเวลา ช่วงที่เศรษฐกิจบ้านเราแย่ ก็ไม่เคยรู้สึกว่ามันกระทบเราจนถึงขั้นอยู่ไม่ได้ มันยังอยู่ได้ อาจจะเพราะตลาดเราหลากหลาย ในประเทศเราก็ยังมีต่างจังหวัด ตอนที่ในกรุงเทพฯแย่เราก็ยังมีภูเก็ต บางทีต่างประเทศแย่เราก็ยังมีในประเทศอยู่ พอร์ตโฟลิโอเราค่อนข้างหลากหลาย ทำให้เรากระจายความเสี่ยงจากผลกระทบอะไรหลายอย่าง เราก็เลยเติบโตค่อนข้างต่อเนื่อง”

ฟังเขาเล่ามาเพลิน ๆ เหมือนเส้นทางโรยด้วยกลีบกุหลาบไปหมด เริ่มต้นปุ๊บก็สำเร็จเลย แต่อย่าเพิ่งคิดว่าความสำเร็จนี้เกิดจากความฟลุกหรือความโชคดี เพราะความสำเร็จของเขามาจากรากฐานที่แน่น มีความรู้ประสบการณ์ เข้าใจการทำธุรกิจมากพอตัว บวกกับการเลือกในทางที่ตัวเองชอบและเข้าใจจริง ๆ ความสำเร็จจึงเกิด

“ผมว่าการจะทำอะไรสำเร็จมันต้องมีสององค์ประกอบ คือ หัวใจกับสมอง ถ้ามีหัวใจอย่างเดียวก็อาจจะไม่รอด ถ้ามีสมองอย่างเดียวก็ไปไม่รอดเช่นกัน ต้องหาสูตรที่ลงตัว อย่างเราอยากไปเดินป่า แต่ถ้าเราไม่ทำการบ้าน ไม่เตรียมอุปกรณ์ ไม่มีเสบียง ก็ตายได้ การทำตามฝัน ถ้าฝันแล้ววิ่งตามฝันอย่างเดียวโดยไม่มีอะไรเลย ผมว่าก็อาจจะพังไปกับความฝันได้ ผมว่าต้องทำให้เป็นก่อน ต้องมีสกิล

“ผมอาจจะโชคดีว่ามีแบ็กกราวนด์ทางธุรกิจค่อนข้างแข็งแรงก่อนจะมาทำความฝัน ผมเห็นเด็กเยอะมากที่เติบโตในยุคโซเชียล มีเดีย เห็นความฝันของคนอื่นเยอะ เห็นแต่สิ่งสวยงาม พอเห็นแบบนั้นก็เลยฝันบ้าง แต่ลืมว่าก่อนจะไปถึงฝัน มันต้องเตรียมอะไรหลายอย่าง ถ้าพุ่งเข้าไปหาฝันเลยโดยที่ยังไม่มีอะไร ไม่มีสกิล ไม่มีความรู้ ยังไม่รู้จักทำงานหนัก ผมว่ามันจะลำบาก แต่ผมโชคดีที่โตมาในยุคที่ยังไม่มีความสวยงามให้เห็น ผมเห็นรุ่นพ่อแม่ทำงานหนักมาตลอด และรู้ว่าการจะได้มาซึ่งความสำเร็จมันไม่มีทางลัด

“จนปัจจุบันก็ยังไม่เชื่อว่ามีทางลัดนะฮะ เราอาจจะเห็นว่ามีทางลัด แต่มันต้องมาจากการทำการบ้าน การเตรียมการอย่างหนัก ปัจจุบันมีเครื่องมือช่วยเยอะ ซึ่งก็เป็นทั้งข้อดีและข้อเสีย ข้อดีคือมันทำให้บางอย่างง่ายขึ้น แต่อย่าลืมว่าการแข่งขันก็หนักหนาสาหัส ถ้าคุณทำได้คนอื่นเขาก็ทำได้ มันใช่คุณคนเดียวที่สามารถหาเวย์บางอย่างได้”

ให้ยกตัวอย่างว่าทำงานหนักขนาดไหน เขาบอกว่าต้องขอเท้าความกลับไปถึงตอนเด็ก

“จริง ๆ ผมทำงานหนักเรียนหนักมาตั้งแต่เด็กแล้ว ผมคิดว่าทำยังไงดีนะไม่ให้พ่อแม่มายุ่งกับเรา ก็เป็นความกบฏความซนอยู่ในตัว ก็คิดว่าเกรดสี่เป็นใบเบิกทาง ผมก็เลยได้เกรดสี่มาโดยตลอด และพ่อแม่ก็ไม่มายุ่งจริง ๆ ม.ปลายสอบเข้าเตรียมอุดมฯ ก็ได้เกรด 4.00 เราก็ชินกับการที่เราพยายาม ผมเป็นคนชอบเรียนรู้อยากศึกษาตลอดเวลา ไปต่างประเทศก็เรียนหนักตอนทำงานก็ทำงานหนักมาก คุณแม่สอนอย่างเดียวว่าถ้าจะประสบความสำเร็จได้ต้องทำงานหนัก จำได้ว่าถ้าทำอะไรชอร์ตคัตจะเป็นเรื่องใหญ่มาก”

มีต้นทุนดีกว่าคนอื่นหรือเปล่า ? หลายคนอาจจะสงสัย

“ผมว่าไม่ใช่คนที่มีต้นทุนถึงจะประสบความสำเร็จได้ อีกเช่นกัน ผมอาจจะเติบโตถูกเอดูเคตมาในเวย์ของอเมริกันดรีมนิดหนึ่ง เชื่อว่าทุกอย่างเป็นไปได้ถ้าเราทำงานหนักและตั้งใจจริง ต้นทุนผมไม่มีเหมือนกัน พ่อผมเป็นตำรวจที่ซื่อตรงที่สุดที่เคยเจอมาคนหนึ่ง คุณแม่เป็นนักธุรกิจค้าขาย จากที่บ้านไม่มีตังค์เลยเริ่มจากห้องแถวเล็ก ๆ มีร้านผ้าไหมที่ลพบุรี แล้วก็ทำจนมีห้องแถวมากมายปล่อยให้คนอื่นเช่าได้ ผมเห็นคุณแม่ทำงานหนักมาตั้งแต่เด็ก เราไม่เคยมีอะไรที่ลักกี้หล่นลงมาจากฟ้า

“ฉะนั้นถ้าถามว่าเกิดขึ้นมาด้วยนามสกุลและฐานะไหม ไม่ใช่เลย … ตอนเรียนทุกอย่างผมก็สอบชิงทุนหมดครับ ผมใช้ความพยายามเอง ผมว่าต้นทุนช่วยได้จริง แต่ไม่ได้หมายความถ้าคุณไม่มีต้นทุนแล้วถึงจะไปไม่ได้ ผมเชื่อในเรื่องความพยายาม การพัฒนาตัวเอง” เขาตอบคำถาม

ถึงแม้ปัญญ์ปุริเติบโตก้าวหน้ามาตลอด แต่เจ้าตัวบอกว่า ยังเบบี้มาก เป็นที่รู้จักระดับหนึ่ง ที่ผ่านมาเป็นการเดินถูกทาง แต่ยังต้องทำงานอีกเยอะ ต้องพัฒนาตัวเองตลอดเวลาเพื่อจะไปถึงระดับที่ฝันไว้คือก้าวขึ้นไปเป็นโกลบอลแบรนด์จริง ๆ

“วรวิทย์” จะแชร์ประสบการณ์และมุมคิดในการปั้นแบรนด์ปัญญ์ปุริของเขาแบบละเอียดบนเวทีสัมมนา “Passion To Profit” ในวันพุธที่ 27 กันยายนนี้ เวลา 13.00-18.00 น. ณ เมืองไทย จีเอ็มเอ็ม ไลฟ์เฮาส์ ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์