PIN ครึ่งปีแรกทำรายได้ 416.4 ล้านบาท รับยอดขายที่ดินในนิคมเพิ่มขึ้น

ปิ่นทอง อินดัสเตรียล ปาร์ค หรือ PIN โชว์ผลงานครึ่งปีแรกทำรายได้จากการดำเนินงาน 416.4 ล้านบาท เติบโต 36.3% และมีกำไรสุทธิ 95 ล้านบาท แม้มีความเสี่ยงจากปัจจัยโควิด-19 ชี้ยอดขายจากที่ดินในนิคมอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้น

วันที่ 16 สิงหาคม 2565 นายพีระ ปัทมวรกุลชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ปิ่นทอง อินดัสเตรียล ปาร์ค จำกัด (มหาชน) หรือ PIN เปิดเผยถึงผลการดำเนินงานในช่วงครึ่งปีแรกของปีนี้ (มกราคม-มิถุนายน) บริษัทมีรายได้จากการดำเนินงานรวม 416.4 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 36.3% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีกำไรสุทธิ 95 ล้านบาท

ซึ่งความสำเร็จดังกล่าวมาจากยอดขายที่ดินในนิคมอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้น โดยทำสัดส่วนคิดเป็น 71.64% ท่ามกลางปัจจัยลบการแพร่ระบาดของโควิด-19 แม้นักลงทุนจากประเทศจีนที่เป็นกลุ่มลูกค้าหลักยังไม่สามารถเดินทางเข้ามาดูที่ดินได้อย่างเต็มที่จากมาตรการเข้มงวดของการป้องกันการแพร่ระบาดของประเทศจีนก็ตาม

ขณะที่กลุ่มธุรกิจ Recurring Income ประกอบด้วย รายได้จากการให้บริการเช่าโรงงานและคลังสินค้าในนิคมอุตสาหกรรมปิ่นทอง และค่าบริการพื้นที่ส่วนกลางและระบบสาธารณูปโภคภายในโครงการ สามารถทำสัดส่วนรายได้อยู่ที่ 5.8% และ 17.31% ตามลำดับ ปรับตัวดีขึ้นตามกิจกรรมการผลิตเพื่อรับกับจังหวะเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวดีขึ้นต่อเนื่อง

ส่วนทิศทางการดำเนินงานในไตรมาส 3 ปีนี้ บริษัทจะมุ่งผลักดันยอดขายที่ดินในนิคมอุตสาหกรรม ด้วยจุดเด่นโครงการที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ EEC ซึ่งเป็นจุดยุทธศาสตร์การลงทุนของประเทศ เพื่อรองรับกับโอกาสการเข้ามาลงทุนในประเทศไทยเพื่อใช้เป็นฐานการผลิต ทำให้ได้รับความสนใจจากนักลงทุนต่างประเทศเป็นอย่างมาก โดยปัจจุบันมี Backlog (ยอดขายรอรับรู้รายได้) ที่อยู่ระหว่างการโอนกรรมสิทธิ์แก่ลูกค้าประมาณ 48 ไร่ในนิคมอุตสาหกรรม PIN6 และอยู่ระหว่างการเจรจากับลูกค้าที่จะทยอยปิดดีลได้อีกประมาณ 100 ไร่ นอกจากนี้ยังอยู่ระหว่างการเจรจาอีก 200 ไร่ ทำให้บริษัทมีความมั่นใจว่าจะผลักดันยอดขายที่ดินปีนี้เติบโตตามแผน

นอกจากนี้ บริษัทยังมีแผนผลักดันรายได้กลุ่มธุรกิจ Recurring Income เพื่อสร้างความมั่นคงของรายได้ประจำและสม่ำเสมอควบคู่กับรักษาสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืนให้ลูกค้าในนิคมอุตสาหกรรม โดยได้เริ่มดำเนินการพัฒนาระบบสาธารณูปโภค

เช่น โครงการบำบัดน้ำเสียที่มีการจัดทำห้องตรวจวิเคราะห์คุณภาพน้ำ และลงทุนติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์เพื่อจำหน่ายให้แก่ลูกค้าในนิคมอุตสาหกรรม รวมถึงโครงการโลจิสติกส์ พาร์ค แห่งใหม่ ที่จัดสรรพื้นที่สร้างอาคารโรงงานและคลังสินค้าให้เช่า เป็นเขตปลอดอากร (Free Zone) กว่า 200,000 ตารางเมตร คาดว่าจะเริ่มดำเนินการได้ในครึ่งปีหลังจะเพิ่มโอกาสการสร้างรายได้ของกลุ่ม Recurring ให้เติบโตได้อย่างมั่นคงและยั่งยืนให้แก่บริษัทในอนาคต