น้ำมันพืชใช้แล้ว สู่น้ำมันเครื่องบิน “บางจาก-ธนโชค-BBGI” ทุ่มลงทุนหมื่นล้าน

บางจาก ผนึกธนโชค ออย ไลท์ BBGI ทุ่ม 1 หมื่นล้านตั้งบริษัท BSGF ผลิตน้ำมันเชื้อเพลิงอากาศยานยั่งยืนจากน้ำมันพืชใช้แล้ว ‘SAF’ 1 ล้านลิตร ปี 67 เตรียมปูพรมเปิดสถานีบริการน้ำมัน-จุดรับซื้อ 2 พันจุด ทั่วประเทศ กก.ละ 32 บาท

วันที่ 31 สิงหาคม 2565 ได้มีพิธีลงนามร่วมทุนจัดตั้ง บริษัท BSGF ระหว่าง นายชัยวัฒน์ โควาวิสารัช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ กลุ่มบริษัทบางจากฯ และนายธนวัฒน์ ลินจงสุบงกช กรรมการผู้จัดการ บริษัท ธนโชค ออย ไลท์ จำกัด และ นายกิตติพงศ์ ลิ่มสุวรรณโรจน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บีบีจีไอ จำกัด (มหาชน) เพื่อเตรียมผลิตและจัดจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงอากาศยานยั่งยืน (Sustainable Aviation Fuel หรือ SAF) จากน้ำมันพืชใช้แล้วจากการทำอาหาร (Used cooking oil เป็นรายแรกและรายเดียวในประเทศไทย

นายชัยวัฒน์ กล่าวว่า บริษัท BSGF นั้น บางจากถือหุ้นสัดส่วน 51% บริษัทธนโชค ถือหุ้นสัดส่วน 29% และ บีบีจีไอ ถือหุ้น 20% เบื้องต้นวางงบประมาณลงทุน 8,000-10,000 ล้านบาทคาดว่าจะใช้เวลาออกแบบและดำเนินการก่อสร้างใน 18 เดือนนับจากนี้ การลงทุนจะมากหรือน้อยขึ้นกับเทคโนโลยีที่จะนำมาใช้ ซึ่งขณะนี้ทีมบางจากอยู่ระหว่างการดูงานการออกแบบและเทคโนโลยีที่อิตาลี

โรงงานใหม่มีกำลังการผลิตสูงสุดประมาณ 1,000,000 ลิตรต่อวัน ซึ่งจะช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ 80,000 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า/ปี ซึ่งจะสอดรับกับแผนการขับเคลื่อนสู่ Net Zero ของอุตสาหกรรมการบินในปี 2050 ตามนโยบายของบางจาก

ทั้งนี้ คาดว่า ผลิตภัณฑ์นี้จะพร้อมจำหน่าย ให้บริการในอุตสาหกรรมการบินทั้งในไทยและต่างประเทศ ปลายปีท2024 โดยมี บริษัท BCP Trading (BCPT) บริษัทในกลุ่มบางจาก ผู้ค้าน้ำมันอิสระอันดับ 1 ในตลาดสิงคโปร์ เป็นผู้จัดจำหน่าย

“การลงทุนนี้บางจากมีความได้เปรียบจากการที่มีไฮโดรเจนซึ่งเป็นสารที่ได้จากกระบวนการกลั่น สำหรับจะนำมาใช้ฟอกน้ำมันพืชใช้แล้วเพื่อนำมาต่อยอดเป็นไบโอเจ็ต ทำให้การลงทุนเราประหยัดกว่ารายอื่นๆ เพราะไม่ได้เริ่มต้นจากศูนย์ หรือเท่ากับลงทุนต่ำกว่ารายอื่น 40-50% อีกทั้งยังสามารถยื่นขอรับสิทธิประโยชน์การส่งเสริมการลงทุน 3 เท่า เพราะจัดอยู่ในกลุ่ม BCG เพราะเป็นทั้งไบโอ เซอร์คูล่า และนำไปขายให้กับสายการบินซึ่งมีตลาดรองรับอยู่แล้ว ” นายชัยวัฒน์กล่าว

นายชัยวัฒน์ กล่าวว่า แนวโน้มความต้องการใช้น้ำมันไบโอเจ็ตทั่วโลกเพิ่มขึ้น หลังจากข้อกำหนดมาตรฐานการบินองค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ (ICAO) และสมาคมการบินระหว่างประเทศ (IATA) สนับสนุนให้ใช้ไบโอเป็นส่วนผสมในน้ำมันเครื่องบิน สัดส่วน 2-5% และ จะทยอยเพิ่มขึ้น เป็น 50% ในปี 2593

“หากสายการบินใดไม่มีการใช้ส่วนผสมนี้ จะต้องไปซื้อคาร์บอนเครดิตซึ่งจะมีต้นทุนสูงกว่านี้ 3,000 เท่า ซึ่งทางอียูจะเร่งรัดการใช้ไบโอเจ็ตด้วยการขยับฐานการเก็บภาษีคาร์บอนแท็ค เป็น 80-100 ยูโรต่อตัน ไปเป็น 200 ยูโรต่อตันในปี 2030 ดังนั้น แนวโน้มดีมานด์ความต้องการใช้ไบโอเจ็ตจะเพิ่มขึ้นแน่นอน 1 ล้านลิตรคงไม่พอ ขึ้นอยู่กับว่าเราจะสามารถขยับเพิ่มปริมาณได้มากน้อยเพียงใด“

ด้านมาตรฐาน SAF ของบริษัทเป็นไปตามมาตรฐานสากล เพราะปัจจุบันบริษัทเป็นผู้ผลิตและจำหน่ายน้ำมันเจ็ตในตลาดโลกอยู่แล้ว มั่นใจได้ว่า SAF จะสามารถนำไปเติมในเครื่องบินทุกประเภทได้ และไม่เพียงเท่านั้นในกระบวนการกลั่นไบโอเจ็ตยังจะมีผลิตภัณฑ์อื่นออกมาด้วย เช่น กรีนดีเซลซึ่งจะสามารถนำมาผสมไบโอดีเซล เป็นต้น

“ส่วนวัตถุดิบที่ใช้แม้ว่าจะอิงราคาซีพีโอ ซึ่งที่ผ่านมามีความผันผวนสูงมาก แต่มั่นใจว่ากการเข้าซื้อวัตถุดิบปริมาณมากจะทำให้สามารถบริหารจัดการต้นทุนได้ และซีพีโอที่ปรับขึ้นลง ไม่ต่างจากราคาน้ำมัน ดังนั้นจึงไม่กังวล”นาย

ในด้านการเตรียมวัตถุดิบสำหรับการผลิต SAF นั้น นายธนวัฒน์ กล่าวว่า บริษัทเป็นผู้รวบรวมรับซื้อน้ำมันพืชใช้แล้วจากเครือข่ายทั่วประเทศ 76 จังหวัด และจากร้านอาหารฟาสฟู้ดทั้งหมดในประเทศไทย และจากอุตสาหกรรมอาหาร โดยมีกำลังการผลิต 17 ล้านลิตรต่อเดือน หรือ เฉลี่ยวัน 4-5 แสนซึ่งจะเพียงพอรองรับการผลิตไบโอเจ็ตที่คาดวว่าจะใช้ 1,000 ลิตรต่อวัน

ด้านราคารับซื้อน้ำมันพืชใช้แล้วมีมาตรฐานชัดเจน เทียบกับราคาน้ำมันปาล์มดิบ (CPO) โดยปกติจะซื้อต่ำกว่า CPO กก.ละ 2-3 บาท สำหรับราคา วันนี้ อยู่ที่ กก.ละ 32 บาท เทียบกับราคาซีพีโอที่ 34 บาท

นายชัยวัฒน์ กล่าวเสริมว่า แนวทางในการรับซื้อน้ำมันพืชใช้แล้วเพื่อมาเป็นวัตถุดิบนั้น เดิมบริษัทธนโชคมีจุดรับซื้อ 600 จุด และทางบางจากจะร่วมกันเปิดจุดรับซื้อน้ำมัน UCO ในสถานีบริการน้ำมันบางจาก ให้ครอบคลุม 1,300 สาขาในต้นปีหน้า รวมกันเป็น 2,000 แห่ง ซึ่งจะให้ประชาชาทั่วไปสามารถนำน้ำมันพืชที่ใช้จากการปรุงอาหารใส่กระป๋องมาขาย หรือมาแลกน้ำมันได้

ด้านนายกิตติพงษ์ กล่าวว่า กลุ่มบีบีจีไอจะเข้าไปสนันสนุนวัตถุดิบให้กับโรงงาน ในการผลิต SAF ซึ่งจะไม่เพียงใช้แต่น้ำมันพืชใช้แล้วอย่างเดียวแต่จะยังมีวัตถุดิบส่วนที่เป็นขยะ (Waste ) ที่เหลือจากการผลิตไบโอดีเซลของด้วย