ลอยกระทงปี’65 เงินสะพัด 9,700 ล้านบาทสูงสุดรอบ 5 ปี

ธนวรรธน์ พลวิชัย
ธนวรรธน์ พลวิชัย

ม.หอการค้าไทย เผยผลสำรวจการใช้จ่าย “วันลอยกระทง” ปี’65 กลับมาคึกคัก คาดมีเงินสะพัด 9,700 ล้านบาท สูงสุดในรอบ 5 ปี มั่นใจเศรษฐกิจไทยปี’65 ขยายตัว 3.3-3.5% คาดแนวโน้มเศรษฐกิจฟื้นตัวไตรมาส 2/66

วันที่ 4 พฤศจิกายน 2565 นายธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย และประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยผลสำรวจพฤติกรรมและการใช้จ่ายของผู้บริโภคในช่วงลอยกระทง สำรวจระหว่างวันที่ 26-31 ตุลาคม จำนวนกลุ่มตัวอย่าง 1,254 คนจากทั่วประเทศ พบว่าในปีนี้จะมีเม็ดเงินสะพัดในช่วงลอยกระทงอยู่ที่ 9,700 ล้านบาท สูงสุดในรอบ 5 ปีนับตั้งแต่ปี 2561 หรือขยายตัว 6% ดีที่สุดในรอบ 10 ปี นับจากปี 2556

โดยประชาชนจะออกไปลอยกระทงคึกคักกว่าปีที่ผ่านมา โดย 32.1% ส่วนใหญ่จะออกไปลอยกระทงและทำกิจกรรมอื่น 22.5% ไม่แน่ใจ และ 19.9% ไม่ลอยแต่ไปทำกิจกรรมอื่น ๆ และจะมีการใช้จ่ายในวันลอยกระทงต่อคนเฉลี่ยอยู่ที่ 1,920 บาท เพิ่มสูงขึ้นเมื่อเทียบจากปี’64 ที่ผ่านมา อยู่ที่ 1,280 บาทต่อคน โดยส่วนใหญ่จะใช้สำหรับเป็นค่าเดินทาง รับประทานอาหารนอกบ้าน ไปช็อปปิ้ง เป็นต้น

 

“ปีนี้ประชาชนจะออกมาใช้จ่ายกันมากขึ้น แต่อาจจะไม่เต็มที่ เนื่องจากวันและเวลาในการจัดงานอยู่ในช่วงกลางสัปดาห์ รวมไปถึงประชาชนยังเชื่อว่าเศรษฐกิจยังอยู่ระหว่างการฟื้นตัว แต่ด้วยสถานการณ์ที่เริ่มกลับปกติ ทำให้ประชาชนกล้าที่จะออกมาใช้จ่ายมากขึ้น”

อย่างไรก็ดี บรรยากาศลอยกระทงปีนี้จะคึกคักกว่าปีที่ผ่านมา ผู้คนจะออกไปลอยกระทงและใช้จ่ายกันมากขึ้น แต่ปริมาณการซื้อสินค้าเพิ่มขึ้นเล็กน้อย 32.7% เนื่องจากยังมีปัจจัยของความกังวลในหลายประเด็น เช่น เกิดการปล้นจี้ทรัพย์ อุบัติเหตุ การจราจรติดขัด รวมถึงความกังวลเกี่ยวกับการติดเชื้อโควิดแม้จะได้รับวัคซีนแล้วก็ตาม

ขณะที่สิ่งที่ประชาชนต้องการขอในวันลอยกระทง คือ ขอให้เศรษฐกิจดี ค่าครองชีพลดลง การงานการเงินเจริญรุ่งเรือง สุขภาพแข็งแรงและพบเจอแต่สิ่งดี ๆ

นายธนวรรธน์กล่าวว่า ผลสำรวจการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ พบว่า 54.9% คาดว่าเศรษฐกิจไทยโดยจะกลับมาฟื้นตัวในไตรมาส 2 ปี 2566 ทำให้จีดีพีปี 2566 จะเติบโต 3.5% เป็นผลจากเศรษฐกิจจีนจะเติบโตส่งผลดีต่อตลาดการส่งออกในเอเชียจะขยายตัวได้ดีขึ้น อย่างไรก็ตาม ช่วงต้นปียังคงต้องติดตามสถานการณ์และปัจจัยหลาย ๆ อย่างที่ยังไม่ดีขึ้น เช่น ราคาน้ำมันที่สูงขึ้น ค่าเงินบาทอ่อนลง รวมไปถึงสงครามรัสเซีย-ยูเครน ที่ส่งผลกระทบด้านสินค้า ที่ทำให้ราคาสินค้าแพงขึ้น แม้ว่าสถานการณ์ปัญหาต่าง ๆ จะคลายตัวบ้างแล้ว แต่ก็ต้องคอยติดตามปัจจัยด้านอื่นที่จะเข้ามามีผลกระทบกับเศรษฐกิจต่อไป

ส่วนเศรษฐกิจไทยปีนี้ GDP ไทยคาดว่าจะขยายตัวที่ 3.3-3.5% ผลจากงานประชุม APEC ที่กำลังจะเกิดขึ้นที่ไทยเป็นเจ้าภาพ จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวได้เป็นอย่างดี สามารถดึงดูดนักลงทุนและนักท่องเที่ยวจีนเข้ามาได้ถึง 2 ล้านคน จะมีเงินสะพัดกว่า 20,000 ล้านบาท ถือเป็นโอกาสสำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศไทยในไตรมาส 4 ปรับตัวดีขึ้น

อย่างไรก็ตาม ผลการสำรวจพบว่าประชาชนยังมีความต้องการที่ภาคธุรกิจรวมถึงประชาชนอยากให้ทางภาครัฐเข้ามาช่วยเหลือ นั่นคือเร่งแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ โดยเฉพาะค่าครองชีพที่ไม่สอดคล้องกับรายได้ ช่วยเหลือด้านเงินทุนสำหรับผู้ประกอบการธุรกิจที่มีทุนน้อย สำคัญที่สุดคือ สร้างความเท่าเทียมและคุณภาพชีวิตให้กับทุกคนในประเทศ