หอการค้าไทย-จีน เผย ปี 2566 ทุนจีนสนใจลงทุน EV ในไทยมากสุด

หอการค้าไทย-จีน เผยทุนจีนสนใจอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าในไทยมากสุด ห่วงปีหน้า'66 เศรษฐกิจไทย เผชิญหนี้ครัวเรือน หนี้เสียในระบบสถาบันการเงิน ความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน การส่งออกที่ชะลอตัว หวังการกลับมาของนักท่องเที่ยวจีนฟื้นรายได้ มองไทยควรเร่งดึงดูดนักลงทุน “อุตสาหกรรมใหม่ๆ” BCG ประเมินจีดีพีไทยปีหน้าฟื้น 3.5-4%  

หอการค้าไทย-จีน เผยทุนจีนสนใจอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าในไทยมากสุด ห่วงปี 2566 เศรษฐกิจไทย เผชิญหนี้ครัวเรือน หนี้เสียในระบบสถาบันการเงิน ความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน การส่งออกที่ชะลอตัว หวังการกลับมาของนักท่องเที่ยวจีนฟื้นรายได้ มองไทยควรเร่งดึงดูดนักลงทุน “อุตสาหกรรมใหม่ ๆ” BCG ประเมินจีดีพีไทยปีหน้าฟื้น 3.5-4%

วันที่ 8 ธันวาคม 2565 นายณรงค์ศักดิ์ พุทธพรมงคล ประธานกรรมการ หอการค้าไทย-จีน เปิดเผยว่า หอการค้าไทย-จีน และคณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สำรวจดัชนีความเชื่อมั่น จากคณะกรรมการกิตติมศักดิ์ คณะกรรมการบริหาร และสมาชิกหอการค้าไทยจีน และประธาน ผู้บริหาร กรรมการสมาพันธ์หอการค้าไทยจีน และกลุ่มนักธุรกิจรุ่นใหม่หอการค้าไทยจีน จำนวน 200 คน ระหว่างวันที่ 24 พ.ย.-1 ธันวาคม 2565

เพื่อคาดการณ์ทิศทางเศรษฐกิจในไตรมาสที่ 1 ของปี 2566 ดังนี้ เหตุการณ์เหนือความคาดหมายที่เกิดขึ้นในปี 2565 จากความขัดแย้งระหว่างประเทศจนนำไปสู่สถานการณ์สงครามระหว่างรัสเซียและยูเครนที่ยืดเยื้อเพราะแนวร่วมนานาชาติมาสนับสนุนยูเครน โรคระบาดครั้งใหญ่มาตลอดระยะเวลา 3 ปี ที่หลายประเทศประกาศเป็นโรคประจำท้องถิ่นและเศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัว

อย่างไรก็ตาม การฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกในแต่ละพื้นที่ไม่ทัดเทียมกัน ก่อให้เกิดความแตกต่างในการใช้นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ อาทิ การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยที่ต่างกัน ส่งผลต่อความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน และความซับซ้อนของความสัมพันธ์ระหว่างประเทศต่อระเบียบโลกใหม่ ต่อการค้า และการลงทุนระหว่างประเทศ

การสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นของหอการค้าไทยจนครั้งนี้ จึงมีความสำคัญเพื่อกำหนดทิศทางและกลยุทธ์ในการดำเนินการค้าและการลงทุนของนักธุรกิจ

ทั้งนี้ ประเด็นแรกของการสำรวจคือ เรื่องความกังวลต่อเศรษฐกิจโลกในปี 2566 พบว่า ความท้าทายที่กังวลมากที่สุด คือ ปัญหาของเงินเฟ้อที่ส่งผลไปถึงการใช้นโยบายทางการเงินในการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของแต่ละประเทศที่มีความแตกต่างกัน กระทบต่อความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน และการที่สงครามระหว่างรัสเซียและยูเครนจะยืดเยื้อ ทั้ง 2 ประเด็นมีความสำคัญมากกว่าราคาของพลังงานเพราะแนวโน้มปรับตัวลดลง

โดยอีกด้านคือ ความท้าทายที่น่ากังวลของเศรษฐกิจไทยในปีหน้า ประกอบไปด้วย 4 เรื่อง ที่ได้รับน้ำหนักเท่ากัน คือ ปัจจัยในประเทศ ได้แก่ หนี้ครัวเรือน และหนี้เสียในระบบสถาบันการเงิน

ปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับต่างประเทศ ได้แก่ ความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน การส่งออกที่ชะลอตัวเพราะเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าที่สำคัญยังไม่ฟื้นเต็มที่ และการรอคอยการกลับมาของนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศ (โดยรอนักท่องเที่ยวจากจีนเป็นสำคัญ)

หากจะมาพิจารณาถึงโอกาสของไทยบ้าง เงื่อนไขประการใดที่จะทำให้เศรษฐกิจไทยพลิกฟื้นได้อย่างรวดเร็วในปี 2566 พบว่ามี 2 ปัจจัยหลัก ซึ่งเกี่ยวข้องกับการต่างประเทศทั้งสิ้น​คือ การกลับมาเยือนไทยอย่างมีนัยสำคัญของนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศ และความสำเร็จที่จะดึงดูดนักลงทุนจากต่างประเทศมาลงทุนโดยตรงใน “อุตสาหกรรมใหม่ ๆ”

เช่น BCG และผู้ตอบการสำรวจยังให้ความสำคัญต่อปัจจัยในประเทศ อีก 2 ด้าน (แม้ว่าระดับความสำคัญจะต่างจากปัจจัยต่างประเทศมาก) ประกอบด้วย ความเชื่อมั่นของประชาชนที่จะเริ่มจับจ่ายใช้สอย และภาครัฐลงทุนเพิ่มในการปรับระบบสาธารณูปโภค

หากจะขยายความต่อในเรื่องของสัญญาณการกลับมาของนักท่องเที่ยวต่างชาติ จากที่คาดว่าปลายปี 2565 ที่คาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติมาเยือนไทย 10 ล้านคน (แต่ในจำนวนนั้นยังไม่มีชาวจีน) พบว่า ร้อยละ 24.3 และร้อยละ 58.6  ของผู้ตอบการสำรวจ มั่นใจมากที่สุด และมั่นใจมากพอควร ตามลำดับ ว่าการกลับมาของนักท่องเที่ยวต่างชาติจะพลิกฟื้นเศรษฐกิจไทยในปี 2566

คำถามเชิงนโยบายคือทำอย่างไรให้นักท่องเที่ยวคุณภาพที่มีกำลังจ่ายสูงมาเที่ยวเมืองไทยให้มากขึ้น “ด้านการลงทุนจากต่างประเทศนั้น ผู้ตอบเกือบทั้งหมดลงความเห็นว่า นักลงทุนจากต่างประเทศจะสนใจอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าในไทยมากที่สุด และตามมาอย่างห่าง ๆ ด้วย พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ เกษตรและอาหาร พลังงานทดแทน และการท่องเที่ยว ปัญหาของเงินเฟ้อยังถูกหยิบยกขึ้นมาเพราะเป็นปัจจัยที่มีผลกระทบต่อเศรษฐกิจ”

ส่วนผู้ตอบแบบสำรวจส่วนใหญ่ ร้อยละ 33.2 และ 23.7 คาดว่าปัญหาที่เกิดจากเงินเฟ้อจะเริ่มผ่อนคลายลงในไตรมาสที่ 2 และ 3 ตามลำดับ แต่มีร้อยละ 21 คิดว่าน่าจะเริ่มผ่อนคลายได้ตั้งแต่ไตรมาสแรกของปี 2566

การคาดการณ์ไตรมาสแรกของปีหน้าเมื่อเทียบกับไตรมาสปัจจุบัน เมื่อได้สอบถามสถานการณ์ทางเศรษฐกิจของประเทศจีน ผู้ให้ข้อมูลส่วนใหญ่ร้อยละ 37.6 คาดว่าเศรษฐกิจจีนจะดีขึ้น ขณะที่ร้อยละ 32.6 คาดว่าจะทรงตัว ส่วนการส่งออกของประเทศไทยไปยังประเทศจีน ร้อยละ 50.3 ของผู้ให้ข้อมูลคาดว่าไตรมาสแรกของปีหน้าจะดีกว่าช่วงปัจจุบัน

ส่วนร้อยละ 33.7 คาดว่าการส่งออกยังคงทรง ๆ เช่นปัจจุบัน ร้อยละ 44.8 ของผู้ให้ข้อมูล คาดว่าการนำเข้าของไทยจากจีนจะเพิ่มขึ้น และร้อยละ 32.6 คาดว่าจะทรง ๆ ที่น่าสนใจคือ ร้อยละ 56.9 ของผู้ให้ข้อมูลคาดว่าการลงทุนจากจีนมาไทยจะเพิ่มขึ้น สาเหตุอาจจะเป็นเพราะการย้ายฐานการผลิตออกจากจีนที่เริ่มมีอย่างต่อเนื่องมายังประเทศสมาชิกอาเซียน เพราะปัญหาความท้าทายจากภูมิรัฐศาสตร์โลก และสงครามการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกาและจีน และสืบเนื่องจากความสำเร็จของกรอบ RCEP

อย่างไรก็ดี การสำรวจการคาดการณ์สถานการณ์เศรษฐกิจ การค้า การลงทุน ของไทยโดยรวม ในไตรมาสแรกของปีหน้าเปรียบเทียบกับไตรมาสปัจจุบัน สรุปได้ว่าร้อยละ 55.3 คาดว่าเศรษฐกิจไทยจะดีขึ้น ร้อยละ 31.5 จะทรง ๆ เพียงร้อยละ 10.5 ไตรมาสแรกจะชะลอตัวลงอีก

ทั้งนี้ภาคธุรกิจที่ยังสามารถขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยในไตรมาสหน้า คือ ธุรกิจการท่องเที่ยว พืชผลการเกษตร ธุรกิจบริการสุขภาพ ธุรกิจออนไลน์ และธุรกิจสินค้าเกษตรแปรรูป (เหมือนกับการสำรวจรอบที่แล้ว) ส่วนธุรกิจที่ต้องได้รับการแก้ไขอย่างเร่งด่วน คือ ธุรกิจการท่องเที่ยว พืชผลการเกษตร อุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์และการก่อสร้าง พลังงานและสาธารณูปโภค

การคาดการณ์ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ในไตรมาสแรกของปี 2566 เมื่อเทียบกับไตรมาสปัจจุบัน ผู้ให้ข้อมูลร้อยละ 37 คาดว่าดัชนีตลาดหลักทรัพย์น่าจะปรับตัวดีขึ้น ร้อยละ 33.1 คาดว่าคงเดิม ร้อยละ 27.1  คาดว่าจะปรับลดลง แนวโน้มอัตราแลกเปลี่ยนในไตรมาสหน้านั้น ผลการสำรวจไม่สามารถสรุปได้ เพราะผลการสำรวจถูกแบ่งไปทุกทิศทางของเปลี่ยนแปลงในสัดส่วนใกล้เคียงกัน ความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนน่าจะยังมี

นายณรงค์ศักดิ์กล่าวอีกว่า จีดีพีไทยปีหน้า 2566 คาดการณ์ว่าจะอยู่ที่ 3.5-4% โดยภาคธุรกิจที่ยังสามารถขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยได้ดี คือ ธุรกิจการท่องเที่ยว ที่รอการกลับมาอย่างเต็มรูปแบบของนักท่องเที่ยวจีน นอกจากนี้ยังมีพืชผลการเกษตร จากอานิสงส์รถไฟจีน-ลาว ซึ่งขณะนี้ด่านโมฮานเปิดอย่างเป็นทางการแล้วยิ่งอำนวยความสะดวก และยังมีธุรกิจบริการสุขภาพ ธุรกิจออนไลน์ และธุรกิจสินค้าเกษตรแปรรูป ที่ค่อนข้างดึงดูดการลงทุนจากนักท่องเที่ยวจีนได้อย่างดี