
สภาผู้ส่งสินค้าทางเรือฯ ส่งสัญญาณส่งออกไทยไตรมาส 1 ปี 2566 ซึมผลจากค่าเงินบาทแข็งค่าเร็ว รอลุ้นไตรมาส 2 จะกลับมาดี ขณะที่การส่งออกทั้งปีโต 1-3%
วันที่ 10 มกราคม 2566 นายชัยชาญ เจริญสุข ประธานสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย (สรท.) เปิดเผยว่า สรท. คาดการณ์การส่งออกรวมทั้งปี 2566 ขยายตัว 1-3% หรือมีมูลค่าประมาณ 300,000 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยการส่งอกไตรมาส 1 ของปีนี้ ยังเป็นเรื่องที่น่ากังวล เนื่องจากปัจจัยที่ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นอย่างรวดเร็ว ซึ่งจะมีผลต่อการส่งออกไทยอย่างมาก ซึ่งคาดว่าจะกลับมาดีขึ้นหลังจากนี้
ขณะที่ปัจจัยบวกอื่น ๆ ก็มาจากสินค้าอุตสาหกรรมหลายกลุ่มของไทยขยายตัวไปในทิศทางที่ดี ทั้งกลุ่มอาหาร น้ำตาล อิเล็กทรอนิกส์ เป็นต้น ขณะที่ปีนี้จะไม่มีปัญหาเรื่องของค่าระวางเรือ เรือขนส่ง ให้กังวลเนื่องจากราคาขนส่งลดลง เรือมีเพียงพอ ส่วนการส่งออกไทยในปี 2565 เติบโต 6-6.5%

สำหรับปัจจัยที่มีผลต่อการส่งออกไทยในปีนี้ ได้แก่ 1) เศรษฐกิจโลกมีความผันผวนรุนแรงแบบไม่มีทิศทางที่ชัดเจน 2) สถานการณ์ค่าเงินบาทเคลื่อนไหวในทิศทางที่แข็งค่าขึ้นอย่างรวดเร็ว หลังจากคณะกรรมการนโยบายการเงินสหรัฐ (FOMC) อาจมีการชะลอหรือลดขนาดการขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย (Fed Rate) ลง ส่งผลให้นักลงทุนเริ่มกลับมาลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูงขึ้น ประกอบกับจำนวนนักท่องเที่ยวที่คาดว่าจะเข้ามาที่ไทยมากขึ้นเป็นเท่าตัว
3) ดัชนีภาคการผลิต PMI ในตลาดส่งออกสำคัญเริ่มชะลอต่อเนื่องอย่างมีนัยสำคัญ สะท้อนกำลังการผลิตและความต้องการของประเทศคู่ค้า 4) ราคาพลังงานที่เป็นต้นทุนหลัก ยังคงมีความผันผวนจากสถานการณ์การเมืองระหว่างประเทศ ส่งผลกระทบต่อต้นทุนภาคการผลิตโดยรวมทั่วโลกปรับขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
อย่างไรก็ดี สรท.ต้องการให้ 1) ขอให้ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) รักษาเสถียรภาพค่าเงินบาทให้สอดคล้องกับประเทศคู่ค้าและคู่แข่งที่สำคัญ รวมถึงพิจารณาปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายแบบค่อยเป็นค่อยไป เนื่องจากก่อนหน้านี้มีการปรับขึ้นค่าธรรมเนียม FIDF (มาตรการปรับลดอัตราเงินนำส่งเข้ากองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน (FIDF) เพื่อลดต้นทุนของสถาบันการเงิน) เป็น 0.46 จากที่ลดลงไป 0.23 ในช่วงสถานการณ์โควิด ซึ่งจะส่งผลต่อต้นทุนดอกเบี้ยเงินกู้สำหรับผู้ประกอบการในทุกระดับ โดยเฉพาะ SMEs
2) ขอให้ช่วยชะลอหรือกำกับดูแลมาตรการภาครัฐใหม่ หรือยกเลิกมาตรการเดิมที่เป็นเหตุให้มีการเพิ่มต้นทุนกับผู้ประกอบการ/ผู้ผลิต ให้น้อยลง เพื่ออำนวยความสะดวกและลดภาระด้านต้นทุนให้ผู้ประกอบการสามารถรักษาระดับราคาสินค้าให้เหมาะสมกับความต้องการของตลาดและกำลังซื้อของผู้บริโภค เช่น กำกับดูแลค่าไฟฟ้า ค่าพลังงาน (น้ำมัน) และค่าแรงขั้นต่ำ เป็นต้น
3) สนับสนุนและเร่งรัด ความต่อเนื่องของการเจรจา FTA อาทิ TH-EU/TH-GCC (กลุ่มประเทศตะวันออกกลาง) และ 4) ขอให้เร่งขยายมาตรการ Soft power สินค้าอัตลักษณ์ไทย เพื่อเพิ่มมูลค่าสินค้าและสามารถสร้างโอกาสในการขยายตลาดใหม่มากขึ้น เพื่อให้การส่งออกภาพรวมของไทยในปีนี้มีการเติบโตไปได้ตามเป้าหมาย